วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

เรื่องของครอบครัว


 เรื่องของครอบครัว

บิดามารดาและก็บุตร
                จริงๆมีแค่สามคนแต่ก็วุ้นวายพอสมควร  เมื่อหญิงท้องแต่ไม่มีพ่อรับเลี้ยงแล้วใครเป็นพ่อเด็ก  และถ้าฝ่ายชายไม่ยอมรับจะทำอย่างไร    ปัญหานี้เกิดขึ้นทุกวันยิ่งคนดังออกข่าวอยู่บ่อยๆ  จริงมั่งเท็จมั่ง กลั่นแกล้งกันบ้าง   แล้วกฎหมายจะช่วยอย่างไร   ตามมาตรา   1536   ให้ถือว่าเด็กเกิดแต่หญิงขณะเป็นภริยาชายหรือภายใน  310 วันนับแต่การสมรสสิ้นสุดลงให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของชาย  ผู้เป็นสามีหรือเคยเป็นสามี
                กฎหมายใช้คำว่าสันนิษฐาน  ไม่ได้ฟันธงนั้นแปลว่ายังต้องพิสูจน์กันอีก  จะว่าไปแล้วกฎหมายข้อนี้ช่วยอะไรได้ไม่มาก  เรื่องนี้ต้องอาศัยข้อเท็จจริงเป็นหลัก
               สิ่งที่ต้องพิสูจน์ข้อแรกชายและหญิงเป็นสามีภริยากันจริงหรือไม่  ถ้าไม่จริงเด็กที่เกิดมาย่อมไม่ใช้ลูกของชายเป็นแน่  แต่ถ้าใช้แล้วหญิงคนนั้นมีสามีคนเดี่ยวหรือไม่  เรื่องแบบนี้พิสูจน์กันยากมันเป็นเรื่องของคนสองคนคนอื่นก็ไม่เคยตามไปดูเสียด้วย    ถ้าหญิงมีสามีหลายคนเรื่องแบบนี้ห้ามไม่ได้แม้กฎหมายจะห้ามจดทะเบียนซ้อนแต่ก็ไม่ได้ห้ามหญิงมีสามีหลายคน   และกฎหมายก็ไม่มีบทลงโทษแต่ประการใด  เป็นสิทธิส่วนตัวจริงๆ   แต่ก็มีกฎหมายใช้คำว่าสันนิษฐานอีก  คือมาตรา  1537  ในกรณีที่หญิงทำการสมรสใหม่ที่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 1536  และคลอดบุตรภายใน  310  วัน  นับแต่วันที่การที่สมรสสิ้นสุดลง    ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเด็กที่เกิดมาเป็นบุตรของสามีใหม่  และห้ามนำข้อสันนิษฐานตามมาตรา  1536  มาใช้บังคับ
                มีกฎหมายห้ามเรื่องการสมรสด้วย  คือ มาตรา  1453   ว่าถ้าสามีตายหรือเลิกกันจะด้วยสาเหตุใดก็แล้วแต่ห้ามสมรสใหม่ภายใน  310  แต่ก็มีข้อยกเว้น  ว่าถ้าคลอดลูกแล้วก็มีได้ทันที หรือคืนดีกับคนเดิม  หรือมีแพทย์ที่มีใบรับรองความรู้รับรองว่าไม่ได้ตั้งครรภ์  อันนี้ก็มีได้ทันทีหรือจะขอให้ศาลสั่งก็ได้  เออแล้วจะมีใครไปขอไหมเนี่ย  อยากจะมีผัวทั้งทีต้องไปขอศาลเมื่อศาลสั่งแล้วจึงมีได้  แต่ก็มีกฎหมายเพื่อไว้แล้วก็ดีเหมือนกัน
                มีอีกข้อ  มาตรา 1452  ชายหญิงจะทำการสมรสในขณะที่ตนมีคู่สมรสอยู่ไม่ได้
ทั้งนี้ก็มีเจตนาเพื่อความสงบของสังคม  เวลาเด็กเกิดมาจะได้ไม่หลงทาง  “เอ้ลูกใครหว่า”  แต่การสมรสฝ่าฝืนกฎข้อนี้  ถ้าเด็กเกิดมาเขาให้สันนิษฐานว่าเป็นบุตรของชายที่เป็นสามีที่จดทะเบียนสมรสครั้งหลัง  แต่ถ้าพิสูจน์ได้ว่าไม่ใช้ของคนหลัง  ก็ให้ศาลมีคำพิพากษาว่าไม่ใช้คนหลัง  กฎหมายก็ให้ใช้มาตรา  1536 มาใช้เพื่อแก้ปัญหา  คือนับย้อนขึ้นไป 310 วันว่าอยู่กับใครก็ให้คนนั้นนั้นและเป็นพ่อไปก่อน  แต่ผู้เป็นสามีคนก่อนกฎหมายก็ให้สิทธิที่จะไม่รับได้ด้วยที่จะไม่รับเป็นบุตรของตน  โดยฟ้องร้องทั้งแม่และเด็กเป็นจำเลยร่วมกันและพิสูจน์ได้ว่าตนไม่ได้อยู่ร่วมกันกับมารดาเด็กในระยะเวลาตั้งครรภ์คือระหว่าง 180วัน ถึง 310 วันก่อนเด็กเกิดหรือตนไม่สามารถเป็นพ่อเด็กได้เพราะเหตุอย่างอื่นได้ด้วย    แต่การทีฟ้องไม่รับเด็กนั้นถ้าตนเป็นคนไปแจ้งเกิดเองและแจ้งเป็นบุตรของตนอันนี้กฎหมายตัดสิทธิฟ้องไม่ได้ตามมาตรา 1541  คือรับแล้วจะไม่รับภายหลังไม่ได้
           เมื่อไม่มีคนรับจะทำอย่างไร  กฎหมายมีวิธีแก้อีกแระ  มาตรา 1546   เด็กเกิดจากหญิงที่ไม่ได้สมรสกับชายให้ถือว่าเป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมายของหญิงนั้นเลย
          คำว่าสมรสกันถือการจดทะเบียนสมรสเป็นใหญ่  ถึงอยู่ด้วยกันจะเป็นบุตรของชายได้ก็ต้องไปจดทะเบียนสมรสก่อน  หรือจดทะเบียนรับเป็นบุตร   แต่ทางฝ่ายมารดาเด็กและตัวเด็กต้องยอมรับด้วยถ้าไม่ยอมก็ไม่เป็น  กฎหมายให้สิทธิเลือกได้ด้วย  เพราะฉะนั้นเมื่อคุณพ่อไปจดทะเบียนรับเป็นลูก  คุณแม่และคุณลูกต้องไปให้ความยีนยอมต่อหน้านายทะเบียนด้วย   ถ้าภายใน 60 วันไม่ไปถือว่าไม่ยอมรับตามมาตรา1548 ครับ  แต่คุณพ่อก็มีทางแก้โดยการยื่นคำฟ้องขอให้ศาลมีคำพิพากษาเป็นบุตรของตน เมื่อศาลมีคำพิพากษาแล้วนายทะเบียนไม่ต้องฟังใครจดทะเบียนเป็นบุตรได้ทันทีไม่ต้องรอแม่เด็กหรือเด็กก็ตาม   แต่ถ้าคุณแม่ก็ไม่ยอมสามารถแจ้งนายทะเบียนไม่ยอมรับโดยอ้างเหตุว่าไม่สมควรมาปกครองลูกของตนอย่างไรก็ได้ด้วย   และแล้วคุณพ่อก็ได้แค่สิทธิว่าเป็นของบุตรตนเท่านั้น  จะไปใช้สิทธิอำนาจปกครองไม่ได้ต้องไปฟ้องศาลอีกขออำนาจปกครองมาด้วย
        เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้เข้าใจง่าย  กฎหมายเขียนมาอย่างไรก็ชั่งเหอะ   เขาถือเอาข้อเท็จจริงเป็นหลักกฎหมายเป็นรอง  ความจริงเป็นเช่นไรก็เช่นนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น