วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

การตั้งพระพุทธรูป


สำหรับสักการบูชาการตั้งพระพุทธรูป
        เพื่อให้เกิดสิริมงคลแก่พุทธศาสนิกชนผู้จัดสร้างพุทธรูป(จำลอง)      ไว้สักการบูชาการอัญเชิญพระพุทธรูปประดิษฐานยังเคหสถานบ้านเรือนของผู้จัดสร้างจัดเป็นสิ่งสำคัญยิ่งตามบาลีกล่าวไว้ว่า”พุทธัปปุโขภิกขุสังโฆพระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขโดยความเป็นประธาน” จึงขอเสนอการจัดตั้งพระพุทธรูปตามทิศต่างๆให้ทราบเพื่อพิจารณาจัดตั้งตามความเหมาะสมของสถานที่  ดั่งต่อไปนี้
๑.ตั้งให้พระพักตร์หันไปสู่ ทิศอีสาน ซึ่งเป็น ทิศเศรษฐี  จะประกอบการงานใดเจริญร่ำรวยยิ่งๆเป็นที่หนึ่ง
๒.ตั้งให้พระพักตร์หันไปสู่ ทิศบูรพา ซึ่งเป็น ทิศราชา  จะประกอบการงานใดๆก็ใหญ่โตสมความตั้งใจ
๓.ตั้งให้พระพักตร์หันไปสู่ ทิศทักษิณ ซึ่งเป็น ทิศปฐม ท่านว่าไม่ดีแล  ทำอะไรไม่ค่อยเกิดผล ลาภตกต่ำ พอมีพอใช้
๔.ตั้งให้พระพักตร์หันไปสู่  ทิศทักษิณ ซึ่งเป็น  ทิศจัณฑาล  จะประกอบการงานใด     แสนยากลำบากกาย ผลประโยชน์ที่ได้ไม่คุ่มกับที่ลงทุนลงแรง
๕.ตั้งให้พระพักตร์หันไปสู่ ทิศหรดี ซึ่งเป็น  ทิศวิปฏิสาร จะประกอบการงานใดๆนำความเดือดร้อนยุ่งยากมาสู่ครอบครัว ตลอดจนเพื่อนบ้านเรือนเคียง
๖.ตั้งให้พระพักตร์หันไปสู่ ทิศประจิม ซึ่งเป็น   ทิศกาฬกิณี จะทำงานสิ่งใดก็เกิดลังเลใจไม่เป็นมงคล ระวังภัยจะเกิดกับตน ร้ายแรงถึงอัตตวิบากกรรม ด้วยประการต่างๆ ไม่ดีแล
๗.ตั้งให้พระพักตร์หันไปสู่ ทิศพายัพ  ซึ่งเป็น ทิศอุทัจจะ จะทำงานสิ่งใด ผลงานไม่แน่นอน เรรวนไม่ได้ผล
๘.ตั้งให้พระพักตร์หันไปสู่  ทิศอุดร ซึ่งเป็น ทิศมัชฌิมาปฏิปทา  จะทำงานใดๆผลของงานอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง  ไม่ดี-ไม่ชั่ว ไม่สูง-ไม่ต่ำ
          การจะกำหนดเอาว่าทิศใดอยู่ทางใดนั้นขอให้ถือเอาเวลาพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก(บูรพา) เป็นเกณฑ์  หรือจะอนุโลมจัดตั้งโดยถือเอาองค์พระประธานในพระอุโบสถวัดตามละแวกบ้านของท่านหันพระพักตร์ไปทางใด  จัดตั้งตามนั้นก็อนุโลมได้
อันนี้คัดมาจากหนังสือของผู้ชำนานในการตั้งศาลพระภูมิ  แต่ในความคิดของผู้เขียนพระพุทธรูปคงไม่ได้มีอิจฐิพลกับชีวิตคนมากหมายขนาดนั้น  เพราะแม้แต่พุทธเจ้าเองก็ยังเคยสอนไว้ ให้เชื้อคำสอนมากกว่าวัตถุ  ถ้าตั้งพระพุทธถูกทิศแล้วรวยในโลกนี้ก็คงไม่มีคนจน  

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555

กระบวนการบังคับคดี







กระบวนการบังคับคดี EXECUTION PROCEEDING 
เมื่อศาลมีคำพิพากษาและได้ส่งคำบังคับให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยไม่ปฏิบัติตามคำบังคับ โจทก์จะต้องดำเนินการออกหมายบังคับคดีเพื่อยึดทรัพย์สินของจำเลย โดยเมื่อหมายบังคับคดีถูกส่งไปยังกรมบังคับคดี โจทก์มีหน้าที่จะต้องไปตั้งเรื่องต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี กรมบังคับคดีแบ่งเป็น การยึดและการอายัด

- การยึด ได้แก่ ยึดที่ดิน, บ้าน, อาคาร, รถยนต์, หุ้น, สังหาริมทรัพย์ เป็นต้น

- การอายัด ได้แก่ อายัดเงินฝากธนาคาร, เงินเดือน (กรณีเอกชน, รัฐวิสาหกิจ) สิทธิเรียกร้องจากบุคคลภายนอก

หลักฐานที่ต้องยื่นต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีในการตั้งเรื่อง
1. หนังสือมอบอำนาจยึดทรัพย์ (ใช้แบบฟอร์มของกรมบังคับคดี)

2. บัตรประชาชน, หนังสือรับรองบริษัทของผู้มอบอำนาจและผู้รับมอบอำนาจ (กรณีโจทก์เป็นบริษัท)

3. หลักฐานแสดงสถานะของจำเลย, หนังสือรับรองบริษัท, หนังสือทะเบียนราษฎร

4. หลักฐานแสดงกรรมสิทธิ์ของจำเลย เช่น โฉนดที่ดิน, สัญญาซื้อขาย, สัญญาจำนอง, หนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด, ทะเบียนบ้าน, คู่มือการจดทะเบียนรถยนต์, ใบหุ้น และอื่น ๆ

5. กรณีอายัดเงินฝากธนาคาร เช่น เลขบัญชีธนาคาร, ประเภทบัญชี, ชื่อธนาคาร, อายัดเงินเดือน เช่น ชื่อสถานที่ทำงาน, อัตราเงินเดือน, จำนวนเงินที่ขออายัด, อายัดสิทธิเรียกร้อง เช่น สัญญาเช่า, สิทธิการเช่า, สิทธิเก็บกิน, ค่าชดเชย, ค่าทดแทนโดยการขออายัดจะต้องมีข้อมูลและเอกสารเพียงพอที่จะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีออกหมายให้ถูกต้องครบถ้วน ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะต้องสืบหาให้พร้อมเสียก่อนจึงจะดำเนินการได้

6. ค่าธรรมเนียมการยึดและการอายัด อย่างละ 600 บาท

7. ระยะเวลาการยึดเมื่อตั้งเรื่องในวันใด และมีหลักฐานครบถ้วน ในวันรุ่งขึ้นสามารถนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์ได้ทันที

8. ระยะเวลาการอายัดจะใช้เวลาในการพิมพ์หมายอายัด 2 วันทำการ รวมทั้งการตรวจสอบหลักฐานด้วย เมื่อหมายอายัดพิมพ์เสร็จโจทก์สามารถนำส่งได้เอง หรือจะให้เจ้าพนักงานบังคับคดีนำส่งบุคคลภายนอกก็ได้

 การยึดทรัพย์อสังหาริมทรัพย์
โจทก์จะนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สินของจำเลยงงงในกรณีที่เป็นอสังหาริมทรัพย์งง โดยจะต้องส่งหลักฐานเพิ่มเติมในวันยึด คือ

1. สำเนาทะเบียนบ้านของจำเลย หรือหนังสือรับรองนิติบุคคล ซึ่งจะต้องรับรองไว้ไม่เกิน 1 เดือน

2. แผนที่การเดินทางไปยังที่ตั้งของทรัพย์ที่ยึด

3. ภาพถ่ายปัจจุบันของทรัพย์ที่ยึด

4. ราคาประเมินที่ดิน, ห้องชุด ที่เจ้าพนักงานรับรอง

5. ค่าธรรมเนียมการขายทอดตลาด 2,000 บาท

6. รายชื่อเจ้าของที่ดินข้างเดียว 4 ทิศ ในกรณีทรัพย์สินอยู่ในเขตอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีกรุงเทพมหานคร การยึดทรัพย์ใช้เวลา 1 วันทำการ

แต่ถ้าทรัพย์สินอยู่ในเขตต่างจังหวัดจะต้องให้เจ้าพนักงานบังคับคดีออกหนังสือบังคับคดีแทนไปยังเขตอำนาจของเจ้าพนักงานบังคับคดีในจังหวัดนั้น ๆ โดยจะต้องไม่ตั้งเรื่องใหม่ เสียค่าธรรมเนียม 600 บาท แล้วจึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดีไปยึดทรัพย์สิน

 กระบวนการหลังจากยึดอสังหาริมทรัพย์
1. เจ้าพนักงานบังคับคดีมีหนังสืออายัดไปยังสำนักงานที่ดิน

2. ส่งหมายแจ้งจำเลย

3. ส่งหมายสอบถามราคาประเมินไปยังสำนักงานประเมินทรัพย์สินกลาง

4. ส่งหมายแจ้งผู้รับจำนองเพื่อให้ส่งโฉนดมาใช้ในการขายทอดตลาด

5. ขออนุญาตศาลเพื่อขายทอดตลาด

6. พิมพ์หมายประกาศขายทอดตลาด

7. ขายทอดตลาด

ขั้นตอนนี้ใช้เวลาประมาณ 6 เดือน 

การขายทอดตลาด



กฎระเบียบ/การขายทอดตลาด
ระเบียบข้อกฎหมายการขายทอดตลาด

1. การขายทอดตลาดที่ดิน หรือที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ให้ผู้เข้าสู้ราคาลงชื่อ พร้อมที่อยู่ในสมุดรายงานการขายทอดตลาด

2. ผู้ที่เข้าสู้ราคาในนามบุคคลอื่น ต้องแสดงใบมอบอำนาจต่อเจ้าพนักงานบังคับคดี ก่อนการขายทอดตลาด ถ้าไม่แสดงใบมอบอำนาจ เจ้าพนักงานบังคับคดีจะถือว่า ผู้เข้าสู้ราคากระทำในนามของตนเอง ซึ่งถ้ามีกรณีจะต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ ผู้เข้าสู้ราคาจะขอเปลี่ยนใส่ชื่อบุคคลอื่น โดยอ้างว่าตนเป็นตัวแทนมิได้

3. การเข้าสู้ราคาใช้วิธีให้ราคาด้วยปากเปล่า หากเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นว่า ราคาต่ำไป เจ้าพนักงานบังคับคดี มีอำนาจถอนทรัพย์ออกจากการขายทอดตลาดได้

4. เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเห็นราคาสมควรจะขานราคา พร้อมทั้งนับ 1 - 3 ในระหว่างนี้ผู้อื่นอาจเข้าสู้ราคาอีกได้ และก่อนที่เจ้าพนักงานบังคับคดีเคาะไม้ ผู้ให้ราคาสูงสุด อาจถอนคำสู้ราคาได้ โดยไม่ต้องผูกพันการให้ราคาของตน

5. การขายทอดตลาดบริบูรณ์ เมื่อเจ้าพนักงานบังคับคดีขานราคา พร้อมทั้งนับ 3 และเคาะไม้

6. ผู้ซื้อทรัพย์จะต้องวางเงินเป็นประกันในการเสนอราคาต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีเป็นจำนวนเงินคนละ50,000.- บาท หรือตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีกำหนดไว้เป็นกรณีพิเศษ และหากซื้อได้ให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการชำระราคาพร้อมทำสัญญาชำระเงินส่วนที่เหลือภายในกำหนด 15 วัน นับแต่วันซื้อเป็นต้นไป

7. หากผู้ซื้อได้จากการขายทอดตลาดไม่วางเงินตามเงื่อนไข และเจ้าพนักงานบังคับคดีนำทรัพย์นั้น ขายทอดตลาดใหม่ได้ราคาต่ำกว่าราคาที่ผู้ซื้อเดิมให้ไว้ ผู้ซื้อเดิมจะต้องรับผิดชอบในส่วนที่ขาดพร้อมทั้งค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น




วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

หลักการเขียนฟ้องคดีอาญา




หลักการเขียนฟ้องคดีอาญา







การทำคำฟ้อง และคำขอท้ายฟ้อง ในคดีอาญาควรจะมีหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้



            ส่วนที่ 1 บรรยายสถานะของโจทก์   สถานะจำเลย (เช่นเดียวกับคดีแพ่งหากเป็นนิติบุคคล หรือมีการกระแทนหรือมีการมอบอำนาจ ถ้าไม่มีข้อ 1 ก็ไม่ต้องมี เริ่มต้นคำฟ้องที่ ข้อ 2 ได้เลย)


           ส่วนที่ 2 บรรยายวัน เวลาที่เกิดข้อพิพาท ระหว่างโจทก์กับจำเลยว่าเกิดข้อพิพาท เมื่อไร ที่ไหน อย่างไร โดยต้องมีข้อความขึ้นต้นว่า 

                              เมื่อวันที่ ………เดือน............พ.ศ................ เวลา………จำเลยได้บังอาจกระทำความผิดต่อกฎหมาย อันเป็นความผิดในทางอาญา กล่าวคือ…. (ระบุให้ครบตาม ป. วิอาญา มาตรา 158(5) คือ การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิดข้อเท็จจริง และรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้นๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะทำให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี) 


          ส่วนที่ 3 บรรยายถึงการกระทำของจำเลยว่าเป็นความผิดข้อหาอะไร ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายอย่างไร 


          ส่วนที่ 4 บรรยายว่า เหตุเกิดที่บ้าน.........................แขวง/ตำบล………..เขต/อำเภอ………..จังหวัด………


          ส่วนที่ 5 บรรยายว่า โจทก์ได้ร้องทุกข์ไว้ต่อพนักงานสอบสวนที่สถานีตำรวจ…………………  เขต/อำเภอ……………จังหวัด…………เมื่อวันที่………… เดือน................พ.ศ..................รายละเอียดปรากฏ ตาม รายงานบันทึกประจำวัน ข้อ ……….เอกสารท้ายคำฟ้องหมายเลข………… (หรือ โจทก์ไม่ได้ร้องทุกข์ไว้ต่อพนักงานสอบสวน เพราะประสงค์จะดำเนินคดีเอง)

         ส่วนที่ 6 บรรยายถึงการขอนับโทษต่อ (ถ้าหากมี)

                                                                                             ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

                                    
     ***** ไม่มีการลงชื่อโจทก์ และผู้เรียง/พิมพ์ เนืองจากมีคำขอท้ายฟ้อง ***** 

คำขอท้ายคำฟ้องอาญา 
ตามแบบพิมพ์ศาล จะมีส่วนให้เติมข้อความ 5 ส่วน ดังนี้คือ

           ส่วนที่ 1 (ย่อหน้าที่ 1) ให้ระบุชื่อของกฎหมาย และเลขมาตราที่จะขอให้ศาลลงโทษจำเลยตาม ป. วิ. อาญา ม.158(6) เท่านั้น เช่น ประมวลกำหมายอาญา มาตรา 334 หรือพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการให้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เป็นต้น

           ส่วนที่ 2 (ย่อหน้าที่ 2) มีข้อความว่า ขอศาลได้ออกหมาย ให้เติมคำว่า นัด และทำเครื่องหมายตกเติมต่อจากคำว่า จำเลย โดยเติมข้อความว่า ไต่สวนมูลฟ้อง ไว้ก่อนคำว่า พิจารณาพิพากษา……………….. (เนื่องจากคดีอาญา ถ้าผู้เสียหายเป็นโจทก์ฟ้องเอง ศาลต้องนัดทำการไต่สวนมูลฟ้อง เป็นนัดแรก ก่อนที่จะประทับรับฟ้อง ต่างกันกรณีที่อัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดี ศาลจะประทับตรารับฟ้องไว้เลย และนัดให้จำเลยให้การต่อสู้คดีและสืบพยานโจทก์เป็นนัดแรก เนื่องจากได้ผ่านการสอบสวนของพนักงารสอบสวนมาแล้ว )

        ส่วนที่ 3 เป็นรายละเอียด ข้อ 1, 2 , 3 , 4 นั้น ถ้าเป้นคดีที่ฟ้องขอให้ลงโทษทางอาญาเพียงอย่างเดียวโดยทั่วๆไป ในส่วนนี้ไม่ต้องระบุอะไร

       ส่วนที่ 4 ให้เติมจำนวนสำนวนคำฟ้อง (ทำเช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ในคดีแพ่ง)

       ส่วนที่ 5 ให้ลงลายมือชื่อโจทก์ คดีอาญา ต้องเป็นตัวโจทก์ หรือผู้มอบอำนาจโจทก์เท่านั้นเป็นผู้ลงลายมือชื่อในคำขอท้ายฟ้องนี้ ทนายความโจทก์ลงลายมือชื่อแทนตัวโจทก์ไม่ได้


วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2555

10 อันดับปลาที่ว่ายน้ำเร็วที่สุด


10 อันดับปลาที่ว่ายน้ำเร็วที่สุด
 
ขอเสนอ "10 อันดับปลาที่ว่ายน้ำเร็วที่สุด " จะมีปลาอะไรบ้างเชิญชมได้เลยครับ
10Tiger shark
อันดับที่ 10 ได้แก่ Tiger shark สามารถว่ายด้วยความเร็วถึง 53 กิโมตร / ชม.
 
 
 
9Tarpon
อันดับที่ 9 ได้แก่ Tarpon สามารถว่ายด้วยความเร็วถึง 56 กิโมตร / ชม.
 
 
 
8Swordfish
อันดับที่ 8 ได้แก่ Swordfish สามารถว่ายด้วยความเร็วถึง 64 กิโมตร / ชม.
 
 
 
7Bbonefish
อันดับที่ 7 ได้แก่ Bbonefish สามารถว่ายด้วยความเร็วถึง 64 กิโมตร / ชม.
 
 
 
6Blue shark
อันดับที่ 6 ได้แก่ Blue shark สามารถว่ายด้วยความเร็วถึง 69 กิโมตร / ชม.
 
 
 
5Yellowfin tuna
อันดับที่ 5 ได้แก่ Yellowfin tuna สามารถว่ายด้วยความเร็วถึง 74 กิโมตร / ชม.
 
 
 
4Southern bluefin tuna
อันดับที่ 4 ได้แก่ Southern bluefin tuna สามารถว่ายด้วยความเร็วถึง 76 กิโมตร / ชม.
 
 
 
3wahoo
อันดับที่ 3 ได้แก่ wahoo สามารถว่ายด้วยความเร็วถึง 77 กิโมตร / ชม.
 
 
 
2Striped
อันดับที่ 2 ได้แก่ Striped สามารถว่ายด้วยความเร็วถึง 80 กิโมตร / ชม.
 
 
 
1Saifish
อันดับที่ 1 ได้แก่ Saifish สามารถว่ายด้วยความเร็วถึง 112 กิโมตร / ชม.
 
 

10 อันดับสุดยอดสุนัขเฝ้าบ้าน


10 อันดับสุดยอดสุนัขเฝ้าบ้าน
 
 "10 อันดับสุดยอดสุนัขเฝ้าบ้าน " จะมีสายพันธุ์อะไรบ้าง ไปชมพร้อมๆกัน และที่สำคัญห้ามพลาดเด็ดขาดเลยครับ
10พูเดิล
อันดับสิบ "พูเดิล" สุนัขสายพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในฝรั่งเศสเดิมทีเดียวเป็นสุนัขล่าสัตว์ใช้เก็บนกที่ยิงตกแต่เนื่องจากสุนัขส่วนหนึ่งเป็นที่นิยมของราชวงศ์ทำให้ถูกนำไปพัฒนาพันธุ์ในราชสำนักจนเหมาะที่จะเลี้ยงในบ้านเรือนได้รับการยอมรับกันว่าเป็นสุนัขที่ฉลาดที่สุดในโลกสายพันธุ์หนึ่งจะเห็นได้จากคณะละครสัตว์หรือคณะแสดงมายากลก็จะมีสุนัขพูเดิลเป็นตัวเอกอยู่เสมอในแง่ความสามารถในการเฝ้าบ้านแล้วส่วนตัวผมยอมรับว่าไม่เป็นรองใครเพราะมันเห่าเก่งมากจนบางคนว่าน่ารำคาญเสียด้วยซ้ำไปแต่สุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่ฉลาดผมคิดว่าน่าจะเป็นสุนัขสายพันธุ์ต่างประเทศที่มีประชากรมากที่สุดในเมืองไทย
 
 
 
9สุนัขแอร์รีเดลเทอร์เรีย
อันดับที่เก้า "สุนัขแอร์รีเดลเทอร์เรีย (Airedale Terrier)" สุนัขพันธุ์นี้มีประชากรมากที่สุดในสุนัขวงศ์เทอร์เรียจึงได้รับสมญานามว่า "King of Terrier" สุนัขพันธุ์ได้รับการยกย่องว่ามีความฉลาดอยู่ในชั้นแนวหน้าของสายพันธุ์สุนัขทั้งปวง อีกทั้งมีความเก่งกล้าสามารถในหลายด้านทำให้ในสนามการแข่งกีฬาความว่องไว (Agility) การเชื่อฟังคำสั่ง (Obedience), จานร่อนและกีฬาอื่นๆจะมีสุนัขสายพันธุ์นี้เข้าแข่งขันเป็นจำนวนมาก แม้เป็นสุนัขขนาดเล็กแต่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นสุนัขที่มีทักษะการเป็นสุนัขปกป้องบ้านเรือนและเจ้าของอยู่ในชั้นแนวหน้าสายพันธุ์หนึ่ง เนื่องจากเป็นสุนัขที่มีความรักเจ้าของมีการเชื่อฟังคำสั่งได้ดีจึงถูกโหวตให้อยู่ในสุดยอดสุนัขเฝ้าบ้านครับ
 
 
 
8ชิวาวา
อันดับที่แปด "ชิวาวา" ครับไม่น่าเชื่อสุนัขจิ๋วตัวเล็กที่สุดของโลกจะได้โหวตติดท็อปเทนสุดยอดสุนัขเฝ้าบ้านกับเค้าด้วย แต่ถ้าผมโหวตผมก็จะโหวตให้เหมือนกันครับเพราะผมว่ามันสามารถเลี้ยงในตัวบ้านได้ไม่มีกลิ่นตัวรุนแรงไม่มีขนร่วงมากแล้วก็ขับถ่ายน้อยสอนให้ขับถ่ายเป็นที่เป็นทางได้ ถ้าเราเอาสุนัขขนาดใหญ่มาเลี้ยงในตัวบ้านคงทำความสะอาดกันไม่หวาดไม่ไหวเจ้าชิวาวาแม้จะตัวเล็กแต่มันก็เห่าเตือนภัยให้เจ้าของได้ทำให้เป็นสุนัขยอดนิยมในไต้หวัน ญี่ปุ่น อิตาลี รวมทั้งเมืองไทยแต่สำหรับในเมืองไทยเรานิยมสุนัขขนาดเล็กจึงไปเล่นสุนัขสายไต้หวันสายญี่ปุ่นซึ่งมักเกิดจากการผสมเลือดชิดมาก ผมสังเกตว่าสุนัขเหล่านี้จิตประสาทและความแข็งแรงจะไม่ดีเท่าสายอเมริกันบางคนจึงรู้สึกขัดแย้งว่ามันไม่ค่อยเห่าเท่าไหร่
 
 
 
7Cairn Terrier
อันดับที่เจ็ด "สุนัข Cairn Terrier" สุนัขพันธุ์นี้มีถิ่นกำเนิดในสก็อตแลนด์เป็นสุนัขพันธุ์เล็กที่หน้าตาบ้องแบ๊วน่ารักขนยุ่งๆเป็นสุนัขตัวเล็กที่ซุกซนและอยู่ไม่ค่อยสุข ผมยอมรับว่าไม่ค่อยมีความรู้เรื่องสุนัขพันธุ์นี้แต่ฝรั่งบอกว่ามันจิ๋วแต่แจ๋วตัวเล็กแต่ไม่กลัวใคร มีความรักบ้านหวงเจ้าของสามารถเลี้ยงไว้เห่าเตือนภัยได้ เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนเล่นของลูกได้ดีสุนัขพันธุ์มีบรรพบุรุษร่วมกับเจ้าเวสตี๊ ในเมืองไทยไม่ค่อยเห็นสุนัขสายพันธุ์นี้มากนัก
 
 
 
6ยอร์กเชียเทอร์เรีย
อันดับที่หก "ยอร์กเชียเทอร์เรีย" สุนัขพันธุ์นี้เป็นสุนัขที่ได้รับโหวตให้เป็นสุนัขยอดนิยมอันดับสองของอเมริกา มีสมญานามว่า "ยอร์กกี้ (Yorkie)" สุนัขตัวนี้แม้จะตัวเล็กมากแต่มันก็สามารถเตือนภัยให้เจ้าของได้เพราะมันจะเห่าเก่งทำให้เจ้าของรู้ตัวเมื่อมีผู้บุกรุกเข้ามาหรือมีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในบริเวณบ้าน สุนัขพันธุ์นี้เพื่อนบ้านผมเลี้ยงไว้ตัวหนึ่งผมเห็นด้วยว่ามันเป็นยามที่ดีมากเพราะมันจะวิ่งอยู่ในตัวบ้านเวลามีอะไรแปลกๆ ใกล้บริเวณบ้านมันก็วิ่งไปเห่าทำให้เจ้าของรู้ตัว การที่มันอยู่ในตัวบ้านเจ้าหัวขโมยจะทำอันตรายอะไรมันก็ยากมันจึงเหมือนสัญญาณเตือนภัยที่มีชีวิต ในหลายประเทศก็มีความนิยมอย่างกว้างขวางทั้งในสหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่นแล้วเมืองไทยก็มีความนิยมมากเพราะมันฉลาดและน่ารักอย่างมาก
 
 
 
5สุนัขมินิเจอร์ชเน๊าเซ่อร์
อันดับที่ห้า "สุนัขมินิเจอร์ชเน๊าเซ่อร์" สุนัขพันุ์นี้ติดท็อปเทนสุนัขที่มีประชากรมากที่สุดในสหรัฐอเมริกาเลยในเมืองไทยก็มีความนิยมอย่างมากเช่นกันครั้งหนึ่งเคยมีราคาแพงมากแต่ตอนนี้ไม่แพงมากนัก สุนัขพันธุ์นี้เห่าเก่งจิตประสาทว่องไวแล้วก็ฉลาดเรียนรู้อะไรได้ง่ายแต่ในเมืองไทยมีข้อเสียคือต้องมีการดูแลเรื่องขนเป็นอย่างดีมิฉะนั้นจะเป็นสุนัขที่สกปรกได้ง่าย สุนัขสายพันธุ์นี้ตัวเล็กแต่แข็งแรงจิตประสาทว่องไวสามารถเห่าเตือนเจ้าของได้เมื่อมีภัยมาถึง การที่เป็นสุนัขที่ตัวค่อนข้างเล็กจึงสามารถเลี้ยงในบ้านทาวเฮ้า, คอนโด, อพาทเม้นหรือในบ้านเดี่ยวที่มีพื้นที่มากได้เป็นอย่างดี
 
 
 
4เวสไฮแลนด์ไวท์เทอร์เรีย
อันดับที่สี่ "เวสไฮแลนด์ไวท์เทอร์เรีย" หรือ "เจ้าเวสตี๊ (Westie)" สุนัขสายพันธุ์นี้ก็มีขนาดใกล้เคียงกับสก็อตติชเทอร์เรีย สุนัขตัวนี้เพื่อนสนิทผมเลี้ยงอยู่ตัวหนึ่งมันแสบมากใครไปใกล้นายมันมันจะเห่าแล้วก็จะกัดถ้ายังไม่ยอมถอยจากนายของมัน ตัวมันเตี้ยเล็กแต่วิ่งเร็วมากดูน่ารักแต่มันหวงของทุกอย่างของมันอย่างมากโดยเฉพาะชามข้าว ฝรั่งให้ความเห็นว่ามันเป็นสุนัขที่ฉลาดเข้ากับสมาชิกทุกเพศทุกวัยได้ดี สามารถเลี้ยงเป็นเพื่อนออกกำลังกายแล้วก็สามารถเห่าเตือนภัยให้เจ้าของได้จึงเป็นสุนัขที่ได้รับความนิยมอย่างสูง สุนัขสายพันธุ์นี้ก็ได้รับความนิยมในบ้านเราอย่างมากเช่นกัน
 
 
 
3สก็อตติชเทอร์เรีย
อันดับที่สามคือ "สก็อตติชเทอร์เรีย" ผมยอมรับว่าส่วนตัวแล้วรู้จักสุนัขสายพันธุ์นี้น้อยมากจำได้ว่ามันเป็นสุนัขตัวเตี้ยตัวนิดเดียว แต่ฝรั่งเค้าให้ฉายาสุนัขพันธุ์นี้ว่าจอมอึดมหากาฬ (Little Diehard) ฝรั่งเค้าให้ความเห็นกันว่ามันฉลาดเป็นกรดแล้วก็มีความจงรักภักดีกับเจ้าของอย่างมากมันจะคอยระแวดระวังภัยแล้วเตือนให้เจ้าของรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา อย่างเวลาออกไปเดินเล่นในป่ามันจะวิ่งออกหน้าเพื่อสำรวจเส้นทางให้เจ้าของถ้าเจออันตรายมันก็จะเตือนให้เจ้าของรู้ เมื่ออยู่ในสถานการณ์คับขันมันก็พร้อมเผชิญหน้าศัตรูเพื่อปกป้องเจ้าของ เป็นสัตว์เลี้ยงที่ยอดเยี่ยมแล้วยังสามารถใช้จับหนูได้อีกด้วยแม้จะตัวเล็กหนักเพียง 7-9 กิโลกรัมแต่มันแข็งแรงอย่างมากเลยทีเดียว
 
 
 
2สุนัขเยอรมันเชพเพรอด
สุนัขที่ได้รับการโหวตมากเป็นอันดับที่สองคือ "สุนัขเยอรมันเชพเพรอด" ซึ่งผู้โหวตส่วนใหญ่ให้ความเห็นว่าเลือกสุนัขพันธุ์นี้เป็นสุดยอดสุนัขเฝ้าบ้านเพราะเป็นสุนัขที่ฉลาดตัวใหญ่เป็นที่น่าเกรงขามของผู้บุกรุกแต่เป็นสุนัขที่มีจิตประสาทดีเข้ากับทั้งเด็กและคนชราในครอบครัวได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นสุนัขที่ฝึกฝนได้ง่ายที่สุดสายพันธุ์หนึ่งจึงถูกเลือกใช้ในราชการมากที่สุดของโลก ความตื่นตัวดีและเห่าเสียงดังสร้างความหวาดกลัวให้ผู้บุกรุกแล้วสุนัขสายพันธุ์นี้ยังเป็นเพื่อนในการออกกำลังกายกับเจ้าของได้เป็นอย่างดี สำหรับในเมืองไทยสุนัขพันธุ์นี้เคยได้รับความนิยมอย่างมากในอดีตแต่เนื่องจากการเพาะพันธุ์สุนัขเกรดสูงมีกฎกติกามารยาทค่อนข้างมากนักธุรกิจสัตว์เลี้ยงในเมืองไทยจึงไม่นิยมเพาะพันธุ์สุนัขสายพันธุ์นี้เชิงการค้าทำให้การเลี้ยงจำกัดอยู่ในกลุ่มแฟนพันธุ์อย่างแท้จริง
 
 
 
1สุนัขร็อตไวเลอร์
สุนัขที่ได้รับการโหวตให้เป็นสุดยอดสุนัขเฝ้าบ้านคือ "สุนัขร็อตไวเลอร์" ซึ่งเป็นสุนัขที่ในสมัยโบราณกองทัพโรมันใช้ในราชกาลสงครามเพราะมีความแข็งแรงซื่อสัตย์อดทนแล้วยังมีโครงสร้างขนาดใหญ่น่าเกรงขาม สุนัขพันธุ์นี้มีความแข็งแรงฝึกง่ายมีจิตประสาทว่องไวมีความกระตือรือร้นสูงแข็งแรงเลี้ยงง่ายแล้วก็ฝึกฝนได้ง่าย ในยุคปัจจุบันสุนัขสายพันธุ์นี้ก็เป็นสุนัขที่ถูกใช้ในราชกาลทหารและใช้คุมนักโทษในคุกแม้จะเป็นสุนัขขนาดใหญ่แต่ก็มีความสามารถปรับตัวเข้ากับบ้านขนาดเล็กหรือบางตัวสามารถอยู่ตามอพาทเม้นได้เพียงแต่ต้องพาไปออกกำลังกายนอกบ้านบ้าง แต่เนื่องจากสุนัขสายพันธุ์นี้หากเป็นสายพันธุ์ที่สายเลือดไม่ดีพออาจมีความก้าวร้าวจนเป็นอันตรายกับเด็กและคนแก่ได้จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการฝึกพัฒนาการด้านสังคมตังแต่วัยเยาว์ (Socialization) ในเมืองไทยสุนัขพันธุ์นี้ก็มีความนิยมสูงมากแม้จะมีข่าวร้ายเชิงลบอยู่เสมอ