วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

คอนกรีตอัดแรง คือ

คอนกรีตอัดแรง

ประวัติงานคอนกรีตอัดแรง
หลักการอัดแรงโครงสร้างเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมบางอย่างขององค์อาคารได้เป็นที่ทราบกันเป็นเวลานานหลายร้อยปี แต่การนำหลักการนี้มาประยุกต์กับงานคอนกรีตได้เริ่มต้นเมื่อร้อยปีที่แล้ว ในปี ค.ศ. 1886, P.H. Jackson วิศวกรแห่งเมืองซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกาได้จดทะเบียนการก่อสร้างแผ่นพื้นคอนกรีตโดยการขันท่อนเหล็กเพื่อยึดพื้นคอนกรีตเข้าด้วยกัน ในปี ค.ศ. 1888, C.E.W. Doehring ได้จะทะเบียนการก่อสร้างแผ่นพื้นคอนกรีตโดยการอัดแรงก่อนการรองรับน้ำหนักบรรทุกในประเทศเยอรมัน อย่างไรก็ตามวิธีก่อสร้างแผ่นพื้นคอนกรีตอัดแรงในระยะนั้นไม่ใคร่ประสพความสำเร็จมากนัก ทั้งนี้เพราะแรงอัดแผ่นพื้นเกิดขึ้นเนื่องจากการขันท่อนเหล็กกล้าละมุนให้ตึง เมื่อเวลาผ่านไปนาน ๆ แผ่นพื้นคอนกรีตหดตัวเนื่องจากการคืบหรือการหดตัวเนื่องจากสูญเสียความชื้น ทำให้แรงอัดแผ่นพื้นก่อนเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย ถึงแม้ว่า C.R. Steiner ในปี ค.ศ. 1908 จะใช้วิธีขันท่อนเหล็กให้แน่นใหม่หลังจากคอนกรีตได้หดตัวไปบ้างแล้ว และค่าก่อสร้างวิธีนี้ก็สูงมากกว่าที่จะก่อสร้างพื้นคอนกรีตเสริมเหล็กธรรมดา จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1925 R.E. Dill ใช้ท่อนเหล็กกำลังสูงเสริมคอนกรีต ในการก่อสร้างเหล็กจะถูกทาสารป้องกันการยึดเหนี่ยวก่อนการเทคอนกรีต เมื่อคอนกรีตแข็งตัวแล้วจึงอัดแรงเข้าสู่คอนกรีตโดยการขันน็อตยันกับคานวิธีนี้คือการก่อสร้างแบบดึงเหล็กทีหลัง (post tensioning) อย่างไรก็ดีการก่อสร้างคอนกรีตอัดแรงก็ไม่แพร่หลายนัก

การพัฒนาคอนกรีตอัดแรงสมัยใหม่ได้ริเริ่มในประเทศฝรั่งเศส โดย E. Ereyssinet ในปี ค.ศ. 1928 โดยริเริ่มใช้ลวดเหล็กซึ่งกำลังประลัยถึง 17,500 กก./ซม2 ในการผลิตคอนกรีตอัดแรง เราลองพิจารณาว่าลวดเหล็กกำลังสูงนี้ถูกดึงจนเกิดหน่วยแรงประมาณ 10,000 กก./ซม2 เนื่องจากโมดูลัสของความยืดหยุ่นของลวดกำลังสูงไม่ต่างจากเหล็กกล้าละมุนมากนัก ดังนั้นจะเกิดความเครียดในลวดเหล็กกำลังสูงเป็น 10,000/2,000,000 เท่ากับ 0.005 เมื่อคอนกรีตเกิดการหดตัวคิดเป็นความเครียด 0.001 จะเห็นว่ายังเหลือหน่วยแรงอัดก่อนอยู่ เท่ากับ 0.004x2,000,000 เท่ากับ 8,000 กก./ซม2 ซึ่งเท่ากับ 80 เปอร์เซ็นต์ของแรงอัดก่อนแรกเริ่ม หลังจากปี ค.ศ. 1930 ได้มีการพัฒนาวิธีอัดแรงแบบดึงเหล็กก่อน (pre-tensioning) ในประเทศเยอรมันโดย E. Hoyer รวมถึงการพัฒนาแม่แรงไฮดรอลิคที่ใช้ดึงลวดและอุปกรณ์ยึดลวดในประเทศฝรั่งเศสและประเทศเบลเยี่ยม และการก่อสร้างโดยใช้คอนกรีตอัดแรงได้เป็นที่แพร่หลายตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นต้นมา

ในประเทศไทยได้เริ่มมีการก่อสร้างสะพานคอนกรีตอัดแรงในช่วงหลัก พ.ศ. 2505 โดยมีการผลิตคานสะพานคอนกรีตอัดแรงช่วงยาวต่าง ๆ กันตั้งแต่ 5.00 เมตร จนถึง 60 เมตร ในระยะหลังได้มีโรงงานก่อสร้างเสาเข็มคอนกรีตอัดแรง พื้นอาคารคอนกรีตอัดแรงสำเร็จรูปตลอดจนการก่อสร้างระบบพื้นไร้คานแบบหล่อในที่และดึงเหล็กทีหลังหลายโครงการ การก่อสร้างโดยใช้คอนกรีตอัดแรงเป็นที่นิยมกันมาก เพราะทั้งประหยัดเวลาและค่าก่อสร้าง เพราะองค์อาคารน้ำหนักน้อยเมื่อเทียบกับคอนกรีตเสริมเหล็ก นอกจากนี้การก่อสร้างระบบอัดแรงแบบดึงเหล็กก่อนสามารถผลิตได้เป็นจำนวนมากในเวลาสั้นวิธีการอัดแรงสำหรับคอนกรีตอัดแรง

โครงสร้างคอนกรีตอัดแรงสามารถแบ่งตามวิธีการอัดแรงระหว่างการก่อสร้างได้ดังนี้ก. การอัดแรงโดยใช้แม่แรง

วิธีนี้เรียกว่าการอัดแรงภายนอก การอัดแรงกระทำได้โดยใช้แม่แรงวางระหว่างปลายคานทั้งสองข้าง กับ อบัตเมนต์ (abutment) และทำการปั้มแม่แรงจนกระทั่งได้แรงอัดตามที่ต้องการ วิธีนี้ใช้ในการก่อสร้างเขื่อนหรือโครงการพิเศษอื่น ๆ ซึ่งจะต้องมีการก่อสร้าง อบัตเมนต์ให้แข็งแรงพอที่จะต้านแรงอัดได้ การก่อสร้างวิธีนี้ไม่ใคร่เป็นที่นิยมกันมากนัก เพราะการสูญเสียแรงอัดเกิดขึ้นมากกว่าอัดแรงภายในเนื่องจากคอนกรีตอยู่ในภาวะความเครียดคงที่ ทำให้ต้องมีการเพิ่มแรงอัดภายหลังเป็นครั้งคราวข. การอัดแรงแบบดึงเหล็กก่อน

วิธีนี้เรียกว่าการอัดแรงภายใน เป็นวิธีก่อสร้างคอนกรีตอัดแรงที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบันเพราะการก่อสร้างทำได้รวดเร็ว วิธีนี้เหมาะสำหรับการผลิตในโรงงานซึ่งมีการก่อสร้าง อบัตเมนต์ถาวร การอัดแรงแบบดึงเหล็กก่อนหมายถึง เราดึงเหล็กก่อนการเทคอนกรีต ขั้นตอนก่อสร้างเริ่มต้นจากการเตรียมแบบหล่อคอนกรีต จากนั้นจึงขึงลวดกำลังสูงหรือลวดเหล็กตีเกลียวกำลังสูงหรือตามสะแตรนด์ตามแนวเหล็กที่ออกแบบไว้ ลวดเหล็กนี้มีปลายยึดกับอบัตเมนต์โดยใช้อุปกรณ์ยึด (anchorage) ในกรณีที่แนวของลวดประกอบด้วยเส้นตรงหักมุม จะต้องออกแบบอุปกรณ์สำหรับยึดเส้นลวดด้วย ลวดเหล็กกำลังสูงถูกดึงให้ตึงจนได้แรงในเส้นลวดเท่ากับจำนวนที่ต้องการ ทั้งนี้จะต้องตรวจสอบความดันของน้ำมันไฮดรอลิคและระยะยืดของเส้นลวดด้วย เมื่อทำการดึงเหล็กแล้วจึงเทคอนกรีตลงในแบบหล่อ ตามปกติคอนกรีตที่ใช้จะเป็นชนิดคอนกรีตกำลังสูงกว่าคอนกรีตในงานคอนกรีตเสริมเหล็ก เมื่อคอนกรีตแข็งตัวแล้วก็ทำการบ่ม (curing) ต่อไปอีก 3-7 วัน จนกำลังของคอนกรีตเพิ่มขึ้นมากพอ จึงทำการอัดแรงคอนกรีตโดยการตัดลวด เนื่องจากลวดมีการยึดเหนี่ยวกับคอนกรีตตลอดเส้น เมื่อตัดลวดแรงดึงในเหล็กจะถ่ายเป็นแรงอัดในคอนกรีตโดยผ่านแรงยึดเหนี่ยวที่บริเวณปลายคาน (transfer of prestress) หลังจากนั้นองค์อาคารก็สามารถขนส่งไปยังสถานที่ก่อสร้างได้

การก่อสร้างแบบดึงเหล็กก่อนเหมาะสำหรับการผลิตเป็นจำนวนมากในเวลาเดียวกันในระบบผลิตแบบนี้โครงสร้างฐานแบบอบัตเมนต์จะมีระยะห่างกันมากกว่า 100 เมตร ซึ่งฐานหล่อคอนกรีตจะมีความยาวที่จะหล่อองค์อาคารได้หลายท่อนพร้อม ๆ กัน ระบบผลิตนี้นิยมใช้สำหรับการก่อสร้างเสาเข็ม คานสะพาน หรือพื้นสำเร็จรูป ค. การอัดแรงแบบดึงเหล็กทีหลัง

วิธีนี้เป็นการอัดแรงในอีกวิธีหนึ่งซึ่งใช้กันแพร่หลายเช่นเดียวกัน เหมาะสำหรับโครงสร้างซึ่งมีขนาดใหญ่ซึ่งไม่สะดวกในการขนส่ง หรือสำหรับสถานที่ก่อสร้างซึ่งอยู่ห่างไกลโรงงานผลิตมาก ท่อ conduit และลวดเหล็กกำลังสูงจะถูกร้อยภายในแบบหล่อองค์อาคารคอนกรีตพร้อมอุปกรณ์ แองคอเรจทั้งสองข้าง จากนั้นจึงทำการเทคอนกรีต เมื่อคอนกรีตแข็งตัวและได้รับการบ่มจนมีกำลังสูงเพียงพอจึงทำการอัดแรงโดยใช้แม่แรงไฮดรอลิค ดึงเหล็กให้ยึดออกโดยยันกับตัวคานคอนกรีตเอง และลวดเหล็กจะขึงตึงระหว่างปลายทั้งสองข้างโดยการยึดของตัวลิ่มในอุปกรณ์แองคอเรจ เราสามารถจะทำให้ลวดเหล็กยึดติดกับเนื้อคอนกรีตตลอดความยาวของคานได้โดยการอัดมอร์ต้าที่ปลายข้างแม่แรงเข้าไปในท่อ conduit จนเต็ม tendon ที่มีการอัดมอร์ต้านี้เรียกว่า bonded tendon ส่วน tendon ที่ไม่ได้มีการอัดมอร์ต้าใน conduit เรียกว่า unbonded tendon คานซึ่งมี bonded tendon จะมีพฤติกรรมในช่วง overload ดีกว่าคานซึ่งมี unbonded tendon ตามปกติ tendon หนึ่งจะประกอบด้วยลวดกำลังสูงหรือ strand หลายเส้นร้อยอยู่ใน conduit ท่อเดียวกันและอุปกรณ์ anchorage ที่ปลายคานจะมีจำนวนรูสำหรับยึดลวดเท่ากับจำนวนลวดหรือ strand ใน conduit

ในการก่อสร้างระบบพื้นไร้คานอัดแรงหรือพื้นสองทางอัดแรง วิศวกรมักจะออกแบบเหล็กอัดแรงเป็นแบบ unbonded tendons เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการอัดมอร์ต้าและราคา conduit จะเป็นมูลค่าสูง tendon ในพื้นปกติจะประกอบด้วยเหล็ก strand เดี่ยววางห่างกัน 40-50 ซม. เหล็ก strand การอัดแรงบางส่วน

หลักการออกแบบคอนกรีตอัดแรงในระยะแรกมักจะพิจารณาระดับการอัดแรงเต็มที่ (full prestressing) กล่าวคือที่ระดับน้ำหนักบรรทุกปกติหน่วยแรงที่เกิดขึ้นเป็นเฉพาะหน่วยแรงอัด นโยบายการอัดแรงที่มีข้อเสียคือแรงอัดคานมีขนาดใหญ่ ทำให้ขนาดขององค์อาคารเพิ่มขึ้นเพื่อหน่วยงานแรงอัดจะต้องไม่สูงมากเกินไปด้วย นอกจากนี้คานอาจจะเกิดการโค้งงอเนื่องจากการอัดแรงมากเกินไปด้วย ในการใช้งานคานคอนกรีตอัดแรงเต็มที่อาจจะเกิดหน่วยแรงดึงบ้าง เช่น คานสะพานเมื่อมีน้ำหนักจราจรสูงมากซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว จะทำให้เกิดหน่วยแรงดึงขึ้นเป็นผลให้เกิดรอยแตกร้าว รอยร้าวนี้จะเปิดสนิทเมื่อน้ำหนักบรรทุกผ่านเลยไป ในเวลาต่อมาหลักการออกแบบอนุญาตให้องค์อาคารเกิดหน่วยแรงดังได้บ้าง นโยบายนี้ทำให้ขนาดของแรงอัดคานลดลงซึ่งเราเรียกว่า การอัดแรงบางส่วน (partial prestressing) โดยควบคุมให้หน่วยแรงดึงไม่สูงเกินไป หลักการอัดแรงบางส่วนนี้ทำให้ขนาดขององค์อาคารคอนกรีตอัดแรงลดลงได้ นอกจากนี้พฤติกรรมการแอ่นตัวก็ดีขึ้น ในบางกรณีข้อบัญญัติกำหนดให้ใช้เหล็กกล้าละมุนต้านทานหน่วยแรงดึงที่เกิดขึ้นดังนั้นการอัดแรงบางส่วนจึงเป็นมาตรการกลางระหว่างคอนกรีตซึ่งอัดแรงเต็มที่และคอนกรีตซึ่งอัดแรงเต็มที่และคอนกรีตเสริมเหล็กการเปรียบเทียบระหว่างคอนกรีตอัดแรงและคอนกรีตเสริมเหล็ก

ในการพิจารณาข้อดีและข้อเสียระหว่างคอนกรีตอัดแรงและคอนกรีตเสริมเหล็ก จะต้องพิจารณาเหล็กเกณฑ์ที่จะใช้เปรียบเทียบ ประการแรกคือวัสดุที่ใช้ในคอนกรีตอัดแรงเราจำเป็นต้องใช้เหล็กกำลังสูง ทั้งนี้เพื่อให้แรงอัดสุทธิหลังจากเกิดการสูญเสียแรงไปแล้ว ยังมีขนาดสูง เพราะนอกจากคอนกรีตกำลังสูงจะมีการคืบและการหดตัวน้อยกว่าคอนกรีตกำลังปกติแล้ว การใช้คอนกรีตกำลังสูงจำเป็นเพื่อต้านทานหน่วยแรงยึดเกาะสูงที่เกิดขึ้นขณะถ่ายแรงอัดในคานแบบดึงเหล็กก่อนหรือเพื่อต้านทานหน่วยแรงกดเนื่องจากอุปกรณ์ anchorage ขณะถ่ายแรงในคานแบบอัดแรงทีหลัง

ประการที่สองคือความปลอดภัย ในประเด็นของความปลอดภัยคอนกรีตอัดแรงมีระดับความปลอดภัยที่สภาวะประลัยใกล้เคียงกับคอนกรีตเสริมเหล็ก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการออกแบบและมาตรฐานการควบคุมการก่อสร้าง อย่างไรก็ดีคอนกรีตอัดแรงอาจมีระดับความปลอดภัยที่สูงกว่าเล็กน้อย คอนกรีตอัดแรงเกิดการแอ่นตัวที่สภาวะประลัยมากว่าคอนกรีตเสริมเหล็ก ความสามารถขององค์อาคารที่จะดูดซึมพลังงานเจลน์ของน้ำหนักกระแทกอยู่ในระดับเดียวกันเมื่อเปรียบเทียบคอนกรีตทั้งสองชนิด คอนกรีตอัดแรงมีความต้านทานต่อการผุกกร่อนดีกว่าเนื่องจากไม่มีรอยร้าวในช่วงน้ำหนักบรรทุกปกติ ในประเด็นความปลอดภัยเนื่องจากเพลิงไหม้ เหล็กกำลังสูงภายใต้หน่วยแรงดึงสูงจะเสียกำลังเมื่อถูกความร้อนมากกว่าเหล็กกล้าละมุนในคอนกรีตเสริมเหล็ก อย่างไรความหนาของคอนกรีตที่ห่อหุ้มเหล็กโดยเฉลี่ยจะหนากว่าในคอนกรีตอัดแรงเทียบกับคานคอนกรีตเสริมเหล็ก ทั้งนี้เนื่องจากแนวเหล็ก tendon เป็นแนวโค้ง ในด้านการออกแบบการก่อสร้าง คอนกรีตอัดแรงต้องการ การวางแผนเกี่ยวกับการใช้สอยที่แน่นอน เช่น ตำแหน่งช่องเปิดของพื้นเพื่อการวางทอ จะต้องทราบตำแหน่งแน่นอน เพราะเมื่อการก่อสร้างทำสำเร็จแล้ว การเจาะพื้นใหม่จะทำได้ยากกว่าพื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก นอกจากนี้ยังเป็นอันตรายอีกด้วยหาก tendon ชำรุดหรือแนวโค้งเปลี่ยนไปจากที่ออกแบบไว้ครั้งแรก

ประการที่สามเกี่ยวกับรูปร่างและการแอ่นตัว องค์อาคารคอนกรีตอัดแรงมีน้ำหนักเบา และความลึกของหน้าตัดน้อยเทียบกับคอนกรีตเสริมเหล็กที่มีน้ำหนักบรรทุกเท่ากัน ดังนั้นจึงเหมาะสำหรับการก่อสร้างช่วงยาวซึ่งต้องการช่วงลอดสูง การแอ่นตัวสุทธิขององค์อาคารน้อยกว่าในคอนกรีตเสริมเหล็ก นอกจากนี้รูปร่างของหน้าตัดของคอนกรีตอัดแรงสามารถออกแบบให้เหมาะสมทางด้านสถาปัตยกรรมน้ำหนักบรรทุกบนโครงสร้าง

ในการออกแบบโครงสร้างคอนกรีตอัดแรง วิศวกรจำเป็นต้องคำนวณน้ำหนักขององค์อาคาร และน้ำหนักบรรทุกจรที่กระทำต่อโครงสร้างเช่นเดียวกันโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กหรือโครงสร้างเหล็ก น้ำหนักขององค์อาคารคอนกรีตคำนวณจากน้ำหนักจำเพาะของคอนกรีตเท่ากับ 2400 กิโลกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ตามปกติเราจะต้องกำหนดขนาดของหน้าตัดองค์อาคารซึ่งมีความแข็งแรงที่จะต้านทานน้ำหนักบรรทุกจร หลังจากการวิเคราะห์โครงสร้างจำเป็นต้องทบทวนขนาดหน้าตัดใหม่ให้เหมาะสม เกี่ยวกับน้ำหนักบรรทุกจรวิศวกรจะต้องพิจารณาประเภทของลักษณะการใช้สอยของโครงสร้าง น้ำหนักบรรทุกจรนี้กำหนดให้ข้อบัญญัติและมาตรฐานของการออกแบบต่าง ๆ มาตรฐานของ American National Standards Institute (ANSI) มาตรฐานของ American association of state Highway and Transportation Officials (AASHTO) ข้อบัญญัติของกรุงเทพมหานคร เป็นต้น ความปลอดภัยของโครงสร้าง

น้ำหนักบรรทุกปกติเนื่องจากน้ำหนักองค์อาคารและน้ำหนักบรรทุกจร ทำให้เกิดแรงภายในบนส่วนต่าง ๆ ของโครงสร้างและหน่วยแรงในวัสดุ ในการออกแบบส่วนต่าง ๆ ของโครงสร้างจะต้องมีความแข็งแรงเพียงพอที่จะต้านทานแรงการะทำประลัยบนโครงสร้างจนถึงระดับหนึ่งทำให้วัสดุต้านทานหน่วยแรงที่เกิดขึ้นจนถึงกำลังสูงสุด เนื่องจากขนาดของแรงกระทำประลัยขึ้นอยู่กับโอกาสของการเกิดแรงนั้น ตามมาตรฐานการออกแบบ เช่น มาตรฐานการออกแบบอาคารของ American Concerte Institute จึงกำหนดระดับโหลดแฟคเตอร์ , U ซึ่งเป็นอัตราส่วนของแรงกระทำประลัยต่อแรงการะทำปกติบนโครงสร้าง

วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

External Harddisk  คืออะไร




External Harddisk  คือ อุปกรณ์เก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่งที่สามารถพกพาหรือนำติดตัวไปยังสถานที่ต่างๆ เป็น harddisk แบบเดียว harddisk ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่ต่างกันตรงที่ External Harddisk นี้ใช้เชื่อมต่อภายนอกเครื่องคอมพิวเตอร์  ส่วน Harddisk ทั่วไปนั้น อยู่ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยใช้ Harddisk ที่ใช้กันอยู่ทั่วไปในเครื่องคอมพิวเตอร์ มาติดตั้งในกล่องสำหรับใส่ Harddisk โดยจะมีแผงวงจรควบคุมการทำงานของ Harddisk ที่ติดตั้งอยู่ในกล่อง โดยคุณสามารถเลือกขนาดความจุของ Harddisk มาติดตั้งในกล่องนี้ได้ตามความต้องการ และชนิดของ Harddisk ที่จะนำมาติดตั้งในกล่องนี้ ต้องเลือกให้ถูกต้องกับประเภทของกล่องซึ่งจะมีอยู่ สองแบบ โดยทั่วไป คือ  IDE และ SATA แต่เดี๋ยวนี้ก็เริ่มจะมีทั้ง e-SATA เข้ามาบ้างแล้ว รวมถึงเทคโนโลยีการถ่ายโอนข้อมูลล่าสุด USB 3.0 ที่เพิ่งจะเปิดตัวไปเมื่อไม่นานมานี้
     ประโยชน์ของ External Harddisk  นี้นอกจากเป็นอุปกรณ์เก็บข้อมูลที่มีความจุสูง สามารถเก็บข้อมูลได้เยอะแล้ว ยังใช้เป็นฮาร์ดดิสก์เสริมให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณได้อีกด้วย เนื่องจากว่า External Harddisk  ก็เสมือนเป็นฮาร์ดดิสกือีกตัวหนึ่ง เพราะเราสามารถติดตั้งระบบปฏิบัติการลงใน External Harddisk  นี้ได้  อย่างในฮาร์ดดิสหลักที่ใกล้เต็มแล้วทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ช้าลง เราก็สามารถย้ายข้อมูลมาที่ External Harddisk ได้ ทำให้ปัญหาเครื่องอืดลดลง หรือบางคนที่ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์แบบ 32 bit แต่ต้องการใช้ โปรแกรมแบบ 64 bit ก็สามารถใช้ฮาร์ดดิสก์ตัวนี้เสริมเข้าไป โดยให้โปรแกรมแบบ 64 bit ที่คุณต้องการ รัน บน External Harddisk แทน เท่านี้คุณก็สามารถใช้ โปรแกรมแบบ 64 bit ได้แล้ว โดยไม่ต้องซื้อคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่
      external harddisk ที่ซื้อขายกันในตลาดก็ยังถูกแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆตามความสะดวก ก็คือ external harddisk แบบ PC กับ external harddisk แบบ notebook
      1.external harddisk แบบ PC นั้นมีข้อดีที่ "มีราคาถูก" เมื่อเทียบกับอีกแบบ (ความจุเท่ากัน) แต่ก้อมีข้อเสียที่ขนาดใหญ่ และมีน้ำหนักมากเมื่อเทียบกับอีกแบบ
      

      2.external harddisk แบบ notebook นั้นมีข้อดีตรงที่มีขนาดเล็ก และน้ำหนักน้อยกว่าแบบแรก จึงสามารถพกพาได้สะดวก แต่มีราคาที่แพงกว่าแบบแรก (ความจุเท่ากัน)

สำหรับขนาดของ External Harddisk ก็จะมีสองแบบด้วยกันคือแบบที่นำ Harddisk มาจากเดสก์ท็อป อันนี้จำเป็นจะต้องใช้เคสที่มีขนาดใหญ่กว่าเนื่องจากลูกจะใหญ่และจำเป็นจะ ต้องใช้ไฟเลี้ยงจากภายนอกด้วย อีกอันจะเป็นการนำเอา Harddisk ของโน๊ตบุ๊ตมาใส่ผ่านแผงวงจร ไม่จำเป็นจะต้องใช้ไฟเลี้ยงจากภายนอกและมีขนาดเล็กกว่า พกพาสะดวก แต่มีราคาที่สูงกว่าแบบตัวใหญ่พอสมควร

ส่วนการเชื่อมต่อ ( Interface ) เข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์จะใช้สาย USB ต่อผ่านเข้าทาง Port USB โดยมักจะมีสาย USB จำนวน 2 เส้น โดยที่เส้นหนึ่งจะเป็นสายสำหรับรับไฟจาก Port USB บนเครื่องคอมพิวเตอร์มาจ่ายเป็นพลังงานให้กับวงจรควบคุม Harddisk ในกล่อง External Harddisk Box หรือ Case และตัว Harddisk ที่ติดตั้งอยู่ในกล่อง  อีกเส้นหนึ่งจะเป็นช่องทางส่งผ่านข้อมูลเข้าและออก โดยจะเชื่อมต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งาน




วันอังคารที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วิธีการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังทีวี HDMI


วิธีการเชื่อมต่อเครื่องคอมพิวเตอร์ไปยังทีวี HDMI

การติดตั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณพอร์ต HDMI บนจอโทรทัศน์ความละเอียดสูงของคุณช่วยให้คุณสามารถดูเนื้อหาของคอมพิวเตอร์ของคุณที่มีขนาดใหญ่หน้าจอคมชัด นอกจากนี้คุณยังสามารถใช้ประโยชน์จากการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของเครื่องพีซีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงเพื่อชมภาพยนตร์สตรีมมิ่งและโทรทัศน์แสดงให้เห็นบนหน้าจอขนาดใหญ่ของคุณ



  • 1
    ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณและตรวจสอบด้านหลังของตัวเครื่อง หาสายที่มาจากจอคอมพิวเตอร์และทำตามมันไปที่ด้านหลังของเครื่องคอมพิวเตอร์ สายเคเบิลจะเสียบเข้ากับการส่งออกของการ์ดซึ่งจะเป็นได้ทั้งพอร์ต VGA 15 ขาหรือพอร์ต DVI 29 พิน ถ้าคุณโชคดีจะมีพอร์ตที่สองโดยตรงถัดไปของทั้ง DVI หรือ VGA ความหลากหลาย ส่วนใหญ่ใหม่เดสก์ทอปและแล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ควรจะมีพอร์ต HDMI เช่นกัน
  • 2
    เลือกการเชื่อมต่อสำหรับการแสดงผลวิดีโอ หากคอมพิวเตอร์ของคุณมีพอร์ต HDMI คุณสามารถเชื่อมต่อสาย HDMI ของความยาวที่ถูกต้องระหว่างคอมพิวเตอร์และโทรทัศน์ มิฉะนั้นคุณจะต้องทำให้การตัดสินใจไม่กี่ หากคอมพิวเตอร์ของคุณมีเพียงการส่งออกวิดีโอที่เดียวและจะไม่ถูกนำมาใช้ แต่เพียงผู้เดียวกับโทรทัศน์, คุณอาจต้องการที่จะลงทุนในการ์ดใหม่ ซื้อหนึ่งที่มีทั้ง DVI หรือ HDMI ออกและติดตั้งในช่องที่มีอยู่ตามคำแนะนำที่มาพร้อมกับมัน ถ้าพอร์ตเอาท์พุทที่คุณเลือกเป็น DVI, DVI ที่ไม่แพงเพื่อสาย HDMI สามารถแปลงการส่งออกคอมพิวเตอร์ของคุณเป็นอินพุต HDMI ที่เหมาะสมสำหรับทีวีของคุณ ถ้าคุณตั้งใจจะใช้เอาท์พุท VGA ที่เดียวหรือสองเอาท์พุทเอาท์พุทการ์ดที่จะขับรถจอแสดงผล HDMI แล้วอุปกรณ์พิเศษจะต้องแปลงระหว่างรูปแบบ เนื่องจากราคาของแปลงเป็นเรื่องเดียวกันในฐานะที่เป็นการ์ดระดับเริ่มต้นที่จะง่ายต่อการใช้งานร่วมกับทีวีของคุณคุณอาจต้องการที่จะเพียงแค่เลือกใช้การ์ดจอใหม่
  • เชื่อมต่อสาย HDMI จากโทรทัศน์ของคุณกับคอมพิวเตอร์ของคุณ ติดตั้งอะแดปเตอร์ที่ถูกต้องหรือแปลงสำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณในกรณีที่จำเป็น ยกเว้นในกรณีที่คอมพิวเตอร์ของคุณมีช่องต่อ HDMI, สายยังจะต้องมีการเชื่อมต่อจากเอาท์พุทการ์ดเสียงที่จะสายวิดีโอ HDMI หรืออะแดปเตอร์เพราะ HDMI ดำเนินสัญญาณทั้งภาพและเสียง
  • 4
    บูตเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณและเข้าสู่ระบบ Windows กด "ของ Windows-C" คลิก "ตั้งค่า" และเลือก "Control Panel". คลิกที่ "แสดง" ไอคอนแล้วคลิก "เปลี่ยนการตั้งค่าการแสดงผล". คู่มือสำหรับ HDMI ทีวีของคุณจะแสดงความละเอียดหน้าจอจะสนับสนุนพร้อมกับอัตราการรีเฟรช กำหนดค่าความละเอียดใน "หน้าจอความละเอียดหน้าต่าง" แล้วคลิกปุ่ม "Advanced" เพื่อกำหนดอัตราการรีเฟรช ถ้าคุณกำลังใช้ HDMI ทีวีเป็นจอที่สองคุณยังจะต้องกำหนดค่าวิธีการที่จะนำมาใช้โดย Windows เลือก "ซ้ำแสดงเหล่านี้" ในหน้าต่างความละเอียดหน้าจอที่จะมีหน้าจอทั้งแสดงเนื้อหาเดียวกัน หรือเลือก "เดสก์ท็ขยาย" โหมดเพื่อให้แต่ละจอจะทำงานได้อย่างอิสระ
  • 5
    รีบูตเครื่องคอมพิวเตอร์ของคุณเพื่อใช้การเปลี่ยนแปลงในกรณีที่จำเป็นและเตรียมความพร้อมที่จะผ่อนคลายบนโซฟาของคุณและดูเนื้อหาของคอมพิวเตอร์ในทีวี HDMI หน้าจอขนาดใหญ่
  • HDTV

    HDTV

    ย่อมาจาก "High Definition โทรทัศน์พ". HDTV เป็นมาตรฐานวิดีโอคุณภาพสูงที่พัฒนาขึ้นเพื่อแทนที่รูปแบบวิดีโอเก่าที่มักเรียกกันว่า SDTV (โทรทัศน์ความละเอียดมาตรฐาน) ในขณะที่คุณภาพของวิดีโอ HDTV เป็นหนึ่งในการปรับปรุงที่เห็นได้ชัดเจนมากที่สุดกว่า SDTV, HDTV รวมถึงจำนวนของการปรับปรุงที่สำคัญอื่น ๆ เช่นกัน
    ครั้งแรกของทุกสัญญาณ HDTV เป็นดิจิตอล แทนสัญญาณอะนาล็อกที่ใช้โดยออกอากาศ NTSC แบบ HDTV อยู่เสมอดิจิตอล นี้จะช่วยลดสัญญาณรบกวนอนาล็อกที่เกิดเป็นกระแสไฟฟ้าและสนามแม่เหล็ก ประการที่สอง HDTV ใช้อัตราส่วนที่แตกต่างกันกว่า SDTV ในขณะที่ออกอากาศก่อนหน้านี้ใช้อัตราส่วน 4: 3 (4 หน่วยกว้างสำหรับทุก 3 หน่วยสูง) HDTV ใช้อัตราส่วนของ 16: 9 อัตราส่วนกว้างขึ้นนี้อย่างใกล้ชิด emulates ว่ามนุษย์เห็นโลกที่ทำให้ภาพที่ปรากฏจริงมากขึ้น อัตราส่วนนี้ยังเป็นที่ดีสำหรับการชมภาพยนตร์แบบไวด์สกรีนที่ได้รับการบันทึกไว้ในแบบไวด์สกรีนด้วยเหตุผลเดียวกัน
    จริงที่ชื่อของโทรทัศน์ความละเอียดสูงมีความละเอียดสูงกว่าวิดีโอความละเอียดมาตรฐาน ในขณะที่ออกอากาศแบบอนาล็อกทั่วไปในสหรัฐอเมริกามีสูงสุด 525 เส้นแนวนอนความละเอียดของสัญญาณ HDTV รองรับได้ถึง 1080 สามรูปแบบที่ใช้โดย HDTV เป็น 1080i ( interlaced ) และ 720p และ 1080p ( ความก้าวหน้า ) HDTV ของความละเอียดสูงให้ภาพที่มีความละเอียดมากและมีรายละเอียดมากขึ้นและสีมากกว่ารูปแบบก่อนหน้านี้ HDTV นอกจากนี้ยังมีสัญญาณเสียงดิจิตอลที่มีคุณภาพสูงขึ้นกว่า SDTV และสนับสนุนได้ถึงหกช่องเสียงเมื่อเทียบกับสองช่องทางที่ได้รับอนุญาตก่อนหน้านี้
    ดู HDTV คุณต้องโทรทัศน์ HDTV ที่เข้ากันได้และวิธีการรับสัญญาณ HDTV HDTVs มาในทั้ง 16: 9 และ 4: 3 รูปแบบ (ความเข้ากันได้ย้อนกลับ) HDTVs บางอย่างรวมถึงจูน HDTV ได้รับการเผยแพร่ผ่านทางอากาศ แต่คนอื่น ๆ ต้องใช้เครื่องรับสัญญาณที่จะซื้อแยก โชคดีที่ส่วนใหญ่เคเบิลและทีวีดาวเทียมที่ บริษัท มีกล่อง HDTV-เข้ากันได้กับแผนการบริการดิจิตอลของพวกเขา

    HDMI

    HDMI

    ย่อมาจาก "High-Definition Multimedia Interface". HDMI เป็นดิจิตอลอินเตอร์เฟซสำหรับการส่งข้อมูลเสียงและวิดีโอในสายเดียว ได้รับการสนับสนุนโดยส่วนใหญ่HDTVsและชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องเช่นDVDและBlu-rayเครื่องเล่นกล่องสายเคเบิลและระบบวิดีโอเกม
    ในขณะที่ประเภทอื่น ๆ ของ A / V การเชื่อมต่อสายเคเบิ้ลต้องแยกต่างหากสำหรับข้อมูลเสียงและวิดีโอ HDMI ถือเสียงและวิดีโอสตรีมด้วยกันอย่างมากขจัดปัญหาสายพันกัน ตัวอย่างเช่นการเชื่อมต่อสายเป็นส่วนประกอบต้องสามสายสำหรับวิดีโอและสองสำหรับเสียงรวมห้าสายในทุก ข้อมูลเดียวกันสามารถส่งโดยใช้สาย HDMI หนึ่ง
    เพราะ HDMI เป็นดิจิตอลเชื่อมต่อสาย HDMI มีน้อยแนวโน้มที่จะรบกวนและเสียงสัญญาณกว่าอะนาล็อกสาย นอกจากนี้เนื่องจากส่วนประกอบมากที่สุดเช่นเครื่องเล่นดีวีดีและกล่องเคเบิลแบบดิจิทัลประมวลผลข้อมูลดิจิทัลโดยใช้ HDMI ช่วยขจัดอนาล็อกเพื่อการแปลงดิจิตอลเชื่อมต่ออื่น ๆ จำเป็นต้องใช้ ดังนั้น HDMI มักจะผลิตภาพที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดและเสียงเมื่อเทียบกับประเภทอื่น ๆ ของการเชื่อมต่อ
    สาย HDMI โดยทั่วไปจะมีราคาแพงกว่าสายอะนาล็อกส่วนใหญ่เพราะพวกเขาเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นในการผลิต แต่มันเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องจำว่าด้วย HDMI คุณไม่จำเป็นต้องซื้อแยกต่างหากสายเสียงและวิดีโอ นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อทั้งหมดวัตถุประสงค์เดียวเพียงอย่างเดียวอาจจะคุ้มค่าความแตกต่างกับผู้ที่ไม่ชอบจัดการกับสายทำให้เกิดความสับสนและการเชื่อมต่อ เพียงจำไว้ว่าก่อนที่จะซื้อสาย HDMI ให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ที่คุณกำลังเชื่อมต่อ HDMI มีการเชื่อมต่อที่มีอยู่

    วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

    ผิวโดนแมลงน้ำกรด


    แมลงก้นกระดก แมลงน้ำกรด ภัยร้ายยามค่ำคืน มารู้จักกับแมลง แมลงก้นกระดก แมลงน้ำกรด (Paederus fuscipes) ภัยร้ายยามค่ำคืนกัน เจ้าแมลงก้นกระดก หรือ แมลงน้ำกรด นัน้เป็นแมลงขนาดเล็กประมาณ 1 ซม. หัวมีสีดำ ท้องมีสีส้ม แมลงชนิดนี้มักจะงอส่วนท้ายเมื่อเกาะอยู่กับพื้น จึงมักเรียกว่า “แมลงก้นกระดก” มักอาศัยบริเวณพงหญ้าที่มีความชื้น ชอบออกมาเล่นไฟและแสงสว่างตามบ้านเรือน โดยเฉพาะจะมีมากในช่วงปลายฤดูฝน แมลงชนิดนี้จะปล่อยสาร Pederin ออกมาทำลายเนื้อเยื่อผิวหนังของผู้ที่สัมผัสโดน

     โดยความรุนแรงจะขึ้นกับความเข้มข้นของสาร Pederin ที่สัมผัสโดน ซึ่งอาการจะยังไม่เกิดทันทีที่

    สัมผัส แต่จะเริ่มเกิดผื่นและอาการแสบ เมื่อผ่านไปประมาณ 24 ชั่วโมง หลังการสัมผัส
     ต่อมาจะเกิดเป็นผื่นแดงขอบเขตชัดเจน หรือรอยไหม้ลักษณะเป็นทางยาว อันเกิดจากการปัดด้วยมือ นอกจากมีการติดเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติมที่บริเวณผื่นเดิม

     ทำให้ผื่นหายช้าลงและอาจลุกลามจนมีโอกาสเกิดแผลเป็นหลังจากผื่นหายแล้วได้ ยังไงก็ระมัดระวังกันให้ดี เพราะมักจะพบเจอได้บ่อยที่ตามบ้านเรือนที่อยู่อาศัย ก่อนนอนก็อย่าลืมปัดที่หลับที่นอนใด้ดีก่อนเข้านอนกันด้วยนะ เพื่อความปลอดภัยจาก แมลงก้นกระดก แมลงน้ำกรด ภัยร้ายยามหลับ

    ลมพิษ..



    มลพิษทุกวันนี้มีมากขึ้นทำให้โรคผิวหนังเป็นโรคที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนี้ thai-health.net ขอเสนอโรคลมพิษ เป็นโรคผิวหนังที่มีลักษณะเป็นผื่นนูนแดง ไม่มีขุย มีอาการคัน เมื่อเกาหรือลูบ ผื่นจะยิ่งขึ้นตามมา เกิดขึ้นได้ทั่วร่างกาย ผื่นมักจะเป็นอยู่ไม่นาน โดยมากมักไม่เกิน 24 ชั่วโมง ก็จะยุบไปเอง

    ลมพิษ
    ลมพิษเป็นปฏิกิริยาตอบสนองของ หลอดเลือดในชั้นหนังแท้ ต่อสิ่งกระตุ้นจากภายนอก และภายในร่างกาย เช่น อาหาร ยา เชื้อโรค และสภาวะทางฟิสิกส์ อาการของผื่นลมพิษเกิดขึ้น เมื่อร่างกายผู้ป่วยได้รับสิ่ง ที่ตัวเองแพ้เข้าสู่ผิวหนัง โดยการรับประทาน สัมผัส หรือโดยการฉีดเข้ากล้ามเนื้อ เข้าใต้ผิวหนัง หรือเข้าหลอดเลือด สิ่งกระตุ้นที่ผู้ป่วย จะทำให้หลอดเลือดใต้ผิวหนังขยายตัว สารน้ำในหลอดเลือด จะซึมออกนอกหลอดเลือด เกิดอาการแดง บวม ร้อน คัน บางครั้งอาจมีอาการเจ็บร่วมด้วยได้ ถ้าการขยายตัวของหลอดเลือด เกิดในหนังแท้ส่วนบนๆ อาการบวม แดง ร้อน จะเห็นชัดเจนเรียกลมพิษชนิดตื้น (Urticari) ถ้าการขยายตัวของหลอดเลือด เกิดในส่วนลึกของหนังแท้ อาการแดงมักเห็นไม่ชัดเจน แต่จะพบอาการบวมมากกว่าเรียก ลมพิษชนิดลึก (Angioedem)

    ผื่นลมพิษชนิดตื้น เกิดบริเวณใดของผิวหนังก็ได้ มีขนาดตั้งแต่เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 เซนติเมตร จนถึงขนาด 20 เซนติเมตร ผื่นมีหลายรูปแบบเช่น กลม รี วงแหวน วงแหวนหลายๆ วงมาต่อกัน หรือเป็นรูปแผนที่ ผื่นลมพิษชนิดลึก มักเกิดบริเวณรอบตา ปาก ปลายแขน รายที่เป็นรุนแรงจะบวมมาก โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า และลำคอ ซึ่งเป็นเครื่องเตือนว่า ผู้ป่วยอาจเกิดอันตราย จากการอุดตันของทางเดินลมหายใจ ถ้าผู้ป่วยมีอาการแน่น หายใจไม่สะดวก ควรรีบไปพบแพทย์โดยด่วน เพื่อรับการรักษา

    ลักษณะอาการของผื่นลมพิษ
    มีลักษณะสำคัญ คือ อาการบวม แดงที่ผิวหนังแต่ละตำแหน่ง เป็นอยู่ไม่เกิน 24 ชม. ก็จะยุบไป แต่จะไปเกิดบริเวณอื่นของผิวหนังได้ มี 2 ชนิด คือ

    1.ลมพิษชนิดฉับพลัน คือ ผื่นลมพิษที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว บางรายอาจรุนแรง ลมพิษชนิดนี้หายไปภายใน 6 สัปดาห์ แตกต่างจากลมพิษชนิดเรื้อรัง คือ อาการของโรคเพิ่งเกิดขึ้น ผู้ป่วยจึงสามารถบอกถึง ความสัมพันธ์ของผื่นลมพิษกับสาเหตุของโรคได้ โรคติดเชื้อ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส เป็นสาเหตุของลมพิษชนิดฉับพลันที่พบบ่อย อาการผื่นลมพิษ อาจนำหน้าอาการไอเจ็บคอ ท้องเดิน ที่เกิดจากเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย หรือเกิดภายหลังอาการดังกล่าวก็ได้ แต่มักอยู่ในระยะ 2 สัปดาห์ หลังเกิดอาการ และลมพิษชนิดเรื้อรังได้ และที่แตกต่างอีกประการหนึ่ง ของผู้ที่เป็นโรคลมพิษเฉียบพลัน คือ มักพบความสัมพันธ์ชัดเจน กับสารเคมีที่เป็นสาเหตุ เช่น ยา หรืออาหารที่ผู้ป่วยรับประทาน ซึ่งผู้ป่วยมักจะได้สารเคมีนั้นในระยะ 2 สัปดาห์เกิดผื่น

    2.ลมพิษชนิดเรื้อรัง คือ ผื่นลมพิษที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปไม่รุนแรง ผื่นจะขึ้นๆ ยุบๆ เป็นอยู่นานเกิน 6 สัปดาห์ ส่วนใหญ่หาสาเหตุไม่ได้ ผู้ป่วยจึงมีอาการผื่นลมพิษเป็นๆ หายๆ นานเป็นเดือนหรือเป็นปี

    สาเหตุของลมพิษ

    1.เกิดจากเชื้อโรค ได้แก่ ไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรือพยาธิ เป็นสาเหตุของลมพิษที่พบบ่อย เชื้อโรคเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายทางใดก็ได้ เช่น ทางเดินอาหาร ทางเดินลมหายใจ ทางเดินปัสสาวะและผิวหนัง

    2.สารเคมี ที่สำคัญคือ อาหารและยา ที่ผู้ป่วยรับประทานอยู่ในช่วง 1-2 สัปดาห์ ก่อนเกิดผื่นลมพิษ ปัจจุบันสารเคมี อาจปนเปื้อนมากับอาหารที่รับประทาน โดยไม่สามารถทราบได้เลย ตัวอย่าง เช่น ยาปฏิชีวนะที่ตกค้างอยู่ในเนื้อไก่ เนื้อปลา ยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนอยู่ในผัก ผลไม้ เป็นต้น จึงเป็นการยากที่จะจับสาเหตุ ของลมพิษในผู้ป่วยทุกรายได้

    3.สภาวะทางฟิสิกส์ เช่น ความร้อน ความเย็น แสงแดด เป็นสาเหตุสำคัญของผื่นลมพิษได้เช่นกัน

    การดูแลรักษาผู้ป่วยลมพิษ

    •หลีกเลี่ยง หรือกำจัดสาเหตุของผื่นลมพิษ ถ้าสามารถทำได้ ผู้ป่วยจะหายขาดจากโรคลมพิษ วิธีกำจัดสาเหตุของลมพิษให้ปฏิบัติ ดังนี้

    1.ควรดื่มน้ำมากๆ เพื่อเป็นการขับสารพิษ ที่เป็นต้นเหตุของผื่นลมพิษออกไปทางไต และควรระวัง ไม่ให้ท้องผูก เพื่อเป็นการกำจัดของเสียออกทางอุจจาระ

    2.หลีกเลี่ยงปัจจัยที่เป็นต้นเหตุของลมพิษ ได้แก่ อาหารทะเล อาหารหมักดอง อาหารที่มียากันบูด อาหารกระป๋อง ถั่ว เนื้อสัตว์ เช่น ไก่ หมู เพราะอาจมียาปฏิชีวนะตกค้างอยู่ในเนื้อ นอกจากนี้ ผักผลไม้ที่รับประทานควรแช่น้ำ และล้างให้สะอาด เพื่อกำจัดยาฆ่าแมลง และสารเคมีที่ปนเปื้อนบนผิว หรือเปลือกผลไม้

    •กรณีที่ไม่ทราบสาเหตุของผื่นลมพิษ หรือทราบสาเหตุแต่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ให้ผู้ป่วยรับประทานยาแก้แพ้ ได้แก่ ยาต้านฮิสตามีน ซึ่งมีอยู่ 2 กลุ่ม ดังนี้

    1.ยาต้านฮิสตามีนชนิดทำให้ง่วงน้อย ยากลุ่มนี้มีฤทธิ์กดอาการลมพิษได้ดี ทำให้ง่วงนอน แต่ราคาแพง ได้แก่ Astemizole, Loratadine เป็นต้น

    2.ยาต้านฮิสตามีนชนิดที่ทำให้ง่วงซึม มีฤทธิ์กดอาการผื่นคันดีมาก ข้อจำกัดของยากลุ่มนี้คือ อาการง่วงนอน ซึ่งพบบ่อยกว่ายากลุ่มแรก ยากลุ่มนี้มีหลายชนิดเช่น Chlorpheniramine, Brompheniramine เป็นต้น

    กรณีที่เป็นลมพิษเรื้อรัง หาสาเหตุไม่ได้ ควรรับประทานยาต้านฮิสตามีน เพื่อคุมอาการของลมพิษให้สงบ ติดต่อกันนาน 2-4 สัปดาห์ ขนาดของยาต้านฮิสตามีน ที่จะใช้การคุมอาการลมพิษ จะแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน การรับประทานยาต้านฮิสตามีนในระยะยาว ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ และกรณีที่ผื่นลมพิษรุนแรง รวมกับอาการแน่นหน้าอก ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อให้การรักษาที่ถูกต้องต่อไป


    วันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2557

    ชะอม


    ชื่อที่เรียก
    ต้นชะอม
    ชื่ออื่นๆ
    ต้นชะอม
    หมวดหมู่ทรัพยากร
    พืช
    ลักษณะ
    ชะอมเป็นไม้พุ่มขนาดย่อม แต่เคยมีพบชะอมในป่า ลักษณะเป็นต้นไม้ใหญ่ วัดเส้นรอบวงของลำต้นได้ 1.2 เมตร ไม้ชะอมที่ปลูกตามบ้าน จะพบในลักษณะไม้พุ่ม และ เจ้าของมักตัดแต่งกิ่ง เพื่อให้ออกยอดไม่สูงเกินไป จะได้ เก็บยอดได้สะดวก ตามลำต้นและกิ่งก้านมีหนามแหลม ใบเป็นใบประกอบขนาดเล็ก มีก้านใบแยกเป็นใบอยู่  2 ทาง ลักษณะคล้ายใบกระถินหรือใบส้มป่อย

    ประโยชน์
    ยาขับลมชั้นดีระดับหนึ่ง แต่ในด้านลบ ผมคุ้นๆ ว่าชะอมจะมีกรดยูลิคอยู่สูง ซึ่งจะมีผลเสียต่อไขข้อกระดูก จนอาจส่งผลเป็นโรคเก๊าได้ในวัยสูงอายุ สำหรับ ดอกแค คุ้นๆ ว่าจะมีประโยชน์กับเม็ดเลือด แต่ที่แน่ๆ คือ กากใยอาหารครับ ดูแลรักษากระเพาะได้เป็นอย่างดี

    แหล่งที่พบ
    โรงเรียนชลบุรี "สุขบท" หลังอาคาร4
    ตำบล
    บางทราย
    อำเภอ
    เมืองชลบุรี
    จังหวัด
    ชลบุรี
    ชื่อสามัญ
    ชะอม
    ชื่อวิทยาศาสตร์
    Acacia Pennata (L.) Willd.Subsp.InsuavisNielsen
    ชื่อวงศ์
    LEGUMINOSAE
    แหล่งที่มาของข้อมูล
    http://www.skb.ac.th/~botanical/
    ต้นชะอม เป็นไม่พุ่มขนาดย่อม จัดอยู่ในวงศ์ ลำต้นและกิ่งก้านจะมีหนามแหลม ส่วนลักษณะของใบชะอม เป็นใบประกอบสีเขียวขนาดเล็ก มีก้านใบย่อยแตกออกจากแกนกลางใบ มีลักษณะคล้ายกับใบส้มป่อยหรือใบกระถิน ใบอ่อนจะมีกลิ่นฉุน ใบย่อยมีขนาดเล็กออกตรงข้ามกัน คล้ายรูปรีประมาณ 13-28 คู่ ปลายใบแหลมขอบใบเรียบ ใบย่อยจะหุบในเวลาเย็น และแผ่ออกเพื่อรับแสงในช่วงกลางวัน ส่วนดอกชะอม มีขนาดเล็กออกตามซอกใบ มีสีขาวถึงขาวนวล

    วิธีการปลูกชะอม ปลูกโดย การปักชำ การเพาะเมล็ด การตอนกิ่ง หรือการโน้มกิ่งลงดิน โดยไม่ต้องต่อตาหรือชำกิ่ง การปลูกผักชะอมส่วนมากจะใช้วิธีการเพาะเมล็ด เพราะจะได้ต้นที่แข็งแรงและทนทานต่อสภาพแวดล้อม มีหนามหนากว่าการปลูกด้วยวิธีอื่น

    การปลูกชะอม ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด โดยนำมาเมล็ดชะอมมาใส่ถุงพลาสติก รดน้ำวันละครั้ง เมื่อเมล็ดงอกก็ให้ทำการย้ายลงดิน โดยปลูกห่างหันประมาณ 1 เมตร และให้ปุ๋ยสดหรือมูลสัตว์ในการบำรุงต้น ถ้าปลูกในฤดูร้อนแล้วหมั่นรดน้ำจะเจริญเติบโตได้ดีกว่าการปลูกในฤดูฝน เพราะเมล็ดชะอมมีโอกาสเน่าได้สูง ผักชะอม ปกติแล้วจะไม่ค่อยมีโรคและแมลงศัตรูพืชมารบกวนเท่าไหร่ หากพบก็ใช้ปูนขาวโรยไว้รอบโคนต้น แต่ถ้าเป็นแมลงมีหนอนกินยอดชะอมก็ให้ใช้ยาฆ่าแมลงฉีดทุกๆ 8 วัน การเก็บยอดชะอม ควรเก็บให้เลือกยอดไว้ 3-4 ยอดเพื่อให้ต้นได้โต เพื่อความปลอดภัยควรเก็บหลังจากการฉีดยาฆ่าแมลงแล้วไม่น้อยกว่า 7 วัน และสามารถเก็บเกี่ยวจากต้นที่ปลูกกิ่งตอนได้ 10-15 วัน และตัดยอดขายได้ทุกๆ 2 วัน
    ประโยชน์ของชะอม

    ประโยชน์ชะอมช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ เนื่องจากมีวิตามินเอสูง
    สรรพคุณของชะอม ยอดชะอมช่วยลดความร้อนในร่างกายได้
    ผักรสมันอย่างชะอม มีสรรพคุณเป็นยาอายุวัฒนะ
    ชะอม สรรพคุณช่วยในการขับถ่าย ป้องกันโรคท้องผูก
    รากชะอมนำมาฝนกินช่วยแก้อาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ปวดท้อง และช่วยขับลมในลำไส้
    สรรพคุณชะอมมีส่วนช่วยบำรุงเส้นเอ็น
    ช่วยแก้อาการลิ้นอักเสบเป็นผื่นแดง
    ประโยชน์ของชะอม ช่วยฟื้นฟูผมแห้งเสีย แตกปลาย ด้วยสูตรน้ำชะอมหมักผม เพียงแค่นำใบชะอมประมาณ 1 กำมือมาต้มกับน้ำเปล่า 3 ถ้วย จนได้น้ำชะอมเข้มข้นกรองเอาแต่น้ำ เมื่อสระผมเสร็จให้นำมาผ้าขนหนูมาชุบน้ำชะอมที่เตรียมไว้ บิดพอหมาด นำมาเช็ดผมให้ทั่ว แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผมแห้งๆ กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
    ชะอม ประโยชน์นำมาทำเป็นเมนูอาหารได้หลากหลายเมนู เมนูชะอม เช่น ไข่ชะอม ไข่ทอดชะอม ชะอมชุบไข่ แกงส้มชะอมกุ้ง แกงส้มชะอมไข่ นำมาลวกหรือนึ่งใช้เป็นผักจิ้มกับน้ำพริก น้ำพริกกะปิ รับประทานร่วมกับส้มตำมะม่วง ตำส้มโอ หรือจะนำไปปรุงเป็นแกงรวมกับปลา เนื้อ ไก่ กบ เขียด หรือต้มเป็นอ่อม ทำแกงลาว แกงแค เป็นต้น

    คุณค่าทางโภชนาการของยอดชะอม 100 กรัม

    พลังงาน 57 กิโลแคลอรี่
    เส้นใยอาหาร 5.7 กรัม
    ธาตุแคลเซียม 58 มิลลิกรัม
    ธาตุฟอสฟอรัส 80 มิลลิกรัม
    ธาตุเหล็ก 4.1 มิลลิกรัม
    วิตามินเอ 10066 IU
    วิตามินบี1 0.05 มิลลิกรัม
    วิตามินบี2 0.25 มิลลิกรัม
    วิตามินบี3 1.5 มิลลิกรัม
    วิตามินซี 58 มิลลิกรัม
    โทษของชะอม

    สำหรับคุณแม่ที่เพิ่งมีบุตรอ่อน ไม่ควรรับประทานผักชะอม เพราะจะทำให้น้ำนมแม่แห้งได้
    ผักชะอม สำหรับคุณแม่ลูกอ่อน จะแพ้กลิ่นของผักชนิดนี้อย่างมาก ดังนั้นควรอยู่ห่างๆ
    การรับประทานผักชะอมในหน้าฝน อาจจะมีรสเปรี้ยว กลิ่นฉุน บางครั้งอาจทำให้มีอาการปวดท้องได้ (ปกตินิยมรับประทานผักชะอมหน้าร้อน)
    กรดยูริกเป็นตัวการที่ทำให้เกิดข้ออักเสบในผู้ป่วยโรคเกาต์ ซึ่งเกิดมาจากสารพิวรีน (Purine) โดยผักชะอมนั้นก็มีสารพิวรีนในระดับปานกลางถึงระดับสูง ผู้ป่วยโรคเกาต์สามารถรับประทานได้ แต่ควรรับประทานในปริมาณที่จำกัด หากเป็นมากก็ไม่ควรรับประทาน เพราะจะทำให้ปวดกระดูกได้
    อาจพบเชื้อก่อโรคอย่าง ซาลโมเนลลา (Salmonella) ซึ่งเป็นเชื้อที่สามารถพบได้ทั่วไปในสภาพแวดล้อม เช่น ดิน น้ำ อากาศ เมื่อเรานำผักชะอมที่ปนเปื้อนสารชนิดนี้มาประกอบอาหารโดยไม่ล้างทำความสะอาดหลายๆครั้ง หรือไม่นำมาปรุงให้สุกก่อนรับประทาน อาจมีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อชนิดได้ โดยผู้ที่ได้รับเชื้อชนิดอาจจะมีอาการท้องเสีย ปวดท้อง ถ่ายเหลวเป็นน้ำสีเสียว หรือถ่ายเป็นมูกมีเลือดปน มีไข้ เป็นต้น





    แกงจืดตำลึงหมูสับ


    “แกงจืดตำลึงหมูสับ”  เป็นเมนูอาหารที่มีคุณประโยชน์มากมาย ปรุงง่ายไม่ยุ่งยาก  ตำลึง มีรสชาติอร่อย เป็นผักที่ไม่มีรสขม รับประทานง่าย  ปลูกได้ไม่ยาก ตำลึงมักถูกเรียกว่า รั้วกินได้ เพราะมักปลูกเป็นรั้วบ้าน แล้วยังสามารถขึ้นได้เองตามธรรมชาติถือเป็นผักริมรั้วที่ปลอดสารพิษ และราคาไม่แพง มีทุกฤดูกาล โดยพาะฤดูฝน
    คุณค่าอาหารทางโภชนาการ
            อาหารประเภทนี้ เหมาะกับทุกเพศ ทุกวัย เป็นอย่างยิ่ง ตำลึงเป็นผักข้างรั้วที่ขึ้นง่าย แล้วก็มีให้เราเก็บรับประทานได้ตลอดปี ในสมัยโบราณเราก็จะมีการปลูกตำลึงไว้ที่รั้วบ้าน มีการศึกษาวิจัยถึงประโยชน์ของตำลึงค่อนข้างมาก  การศึกษาวิจัยของสถาบันโภชนาการพบว่าตำลึง เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง เป็นแหล่งของวิตามินเอที่ดีมาก นั่นหมายถึงว่าเป็นสารต้านอนุมูลอิสระขณะเดียวกันสามารถเปลี่ยนเป็นวิตามินเอ ที่ช่วยในเรื่องของภูมิต้านทาน ช่วยในเรื่องของการมองเห็น  ถ้าขาดวิตามินเอ ร่างกายของเราก็จะอ่อนแอ อาจจะเกิดโรคติดเชื้อค่อนข้างง่าย มีงานวิจัยที่พบว่า ตำลึง เป็นแหล่งของสารฟลาโวนอยด์ที่ดีแล้วก็สามารถช่วยในการป้องกันโรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โรคเบาหวาน หรือว่าโรคมะเร็งได้ นอกจากนั้น ยังมีงานวิจัยที่ศึกษาพบว่าตำลึงสามารถช่วยลดน้ำตาล และสถาบันโภชนาการเอง ก็ศึกษาพบว่า ตำลึงมีแคลเซียมค่อนข้างสูง และแคลเซียมที่อยู่ในตำลึง ร่างกายสามารถดูดซึมเอาไปใช้ได้เทียบเท่ากับแคลเซียมที่อยู่ในนม เพราะฉะนั้นในผู้ที่ไม่สามารถดื่มนมได้ เนื่องจากแพ้นม หรือดื่มนมแล้วท้องเสีย ก็หันมารับประทานตำลึงให้มากขึ้น ก็จะช่วยให้ได้รับแคลเซียมไปช่วยในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ซึ่งก็เหมาะทั้งเด็กและผู้สูงอายุที่ต้องการแคลเซียมมากกว่าวัยอื่นๆ ดังนั้นหันมากินตำลึงหมูสับกันเถอะ
    ข้อมูลคุณค่าโภชนาการโดย...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล

    ส่วนผสม
    วิธีทำ
    - ใบตำลึง
    3
    ถ้วยตวง
    - หมูสับ
    100
    กรัม
    - ซีอิ๊วขาว
    ½
    ช้อนโต๊ะ
    - น้ำซุปกระดูกหมู          
    3 ¼
    ถ้วยตวง
    - รากผักชี
    1
    ช้อนชา
    - พริกไทย
    ¼
    ช้อนชา
    - กระเทียม
    4
    กลีบ
    - เกลือ                
    ½
    ช้อนชา
     

    1.
    โขลกรากผักชี พริกไทย กระเทียม ให้ละเอียดเข้ากัน ตักใส่ถ้วย นำเนื้อหมูสับลงไปคลุก ใส่ซีอิ๊วเล็กน้อย  คลุกเคล้าให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ ประมาณ 5 – 10 นาที
    2.
    นำน้ำซุปใส่ในหม้อแกง ตั้งไฟให้เดือด นำหมูที่หมักไว้ปั้นเป็นก้อน ใส่ลงในหม้อ รอสักครู่ให้หมูสุกปรุงรสโดยใส่เกลือ
    3.
    ใส่ตำลึงที่เตรียมไว้ลงไป ตั้งจนไฟเดือดต่ออีกสัก 4 – 5 นาที ยกลง ตักใส่ชามเสิร์ฟ
     จาก....โครงการเผยแพร่และอนุรักษ์อาหารไทยผ่านเว็บไซต์สถาบันโภชนาการ

    ตำลึง


    อที่เรียก
    ตำลึง
    ชื่ออื่นๆ
    -
    หมวดหมู่ทรัพยากร
    พืช
    ลักษณะ
     ชื่อ : ตำลึง
        ชื่อสามัญ : Ivy Gourd

        ชื่อวิทยาศาสตร์ : Coccinia grandis Voigt.

        วงศ์ : CUCURBITACEAE

    ประโยชน์ของตำลึง

     ว่าด้วยการกินผักนั้น ย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว ไม่ว่าใบอ่อนหรือแก่ ตำลึงที่ว่าดีนั้นก็เพราะทั้งปลูกง่ายแลให้สารอาหารที่มีคุณค่ายิ่งกับร่างกาย ตอนนี้ใครต่อใครเขาก็นิยมเบต้า-แคโรทีน ที่สามารถป้องกันมะเร็งกัน ตำลึงของเราก็มีสารตัวนี้แบบไม่น้อยหน้าใคร แถมยังมีแคลเซียมในปริมาณสูง ธาตุเหล็กและฟอสฟอรัสอยู่อีกไม่น้อย



    การปลูกและดูแล



       ตำลึงขึ้นได้ดีในดินแทบทุกชนิด แต่ถ้าเป็นดินร่วนซุยก็จะทำให้การเจริญเติบโตดี ชอบแสงแดดตั้งแต่รำไรไปจนถึงแดดแรง แต่หากจะปลูกตำลึงในที่ที่แดดค่อนข้างจัดก็ควรให้น้ำมากหน่อย ตำลึงขยายพันธุ์ได้ด้วยการเพาะเมล็ดและปักชำ แต่อยากสบายก็อาจไปขุดเอาต้นเล็กที่ขึ้นอยู่ใกล้เถาแก่มาลงปลูกในแปลงของเราก็ง่ายดี

              ผักดีๆ แบบนี้หาไม่ได้ง่าย ๆ แบบที่ปลูกแล้วก็ปลูกเลย ในหน้าฝนก็โตเร็วจนแทบไม่ต้องให้ปุ๋ย หรือบางทีก็แทบไม่ต้องรดน้ำ ไม่มีโรค หรือแมลงรบกวน อยากให้เป็นระเบียบก็ทำค้าง หรือวัสดุยึดเกาะไว้ให้สักหน่อย เท่านี้ตำลึงของเราก็เติบโตงอกรากขยายเถาให้เราเก็บกินสบาย ๆ

              ตำลึงจึงเป็นเสมือนผักฝึกหัดสำหรับมือใหม่ที่ยังไม่คุ้นกับพลั่ว หรือเสียม หรือดินสีดำ ๆ เมื่อไรที่ได้เด็ดตำลึงที่ข้างรั้วของคุณเองมากินได้ เมื่อนั้นก็เป็นกำลังใจให้เหล่ามือใหม่หัดปลูกทั้งหลายได้มีมานะปลูกผักอื่น ๆ ต่อไป
    คุณค่าทางอาหารของตำลึง

    ยอดของตำลึงใช้ปรุงอาหาร ตำลึง 100 กรัม ประกอบไปด้วยโปรตีน 3.3 กรัม วิตามินบี1 0.17 มิลลิกรัม แคลเซียม 126 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 30 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 4.6 มิลลิกรัม ไนอาซีน 1.2 มิลลิกรัม วิตามินซี 13 มิลลิกรัม ใยอาหาร 2.2 กรัม และเบต้าแคโรทีนสูงถึง 699.88 ไมโครกรัม มากกว่าฟักทองและมันเทศซึ่งมีเบต้าแคโรทีน 225 และ 175 ไมโครกรัมตามลำดับ ต่อปริมาณ 100 กรัมเหมือนกัน

    ประโยชน์ของตำลึง

    ใบดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ แก้ตัวร้อน ดับพิษฝี แก้ปวดแสบปวดร้อน แก้คัน ดอก แก้คัน เมล็ด ตำผสมน้ำมันมะพร้าวทาแก้หิด เถา ใช้น้ำจากเถาหยดตา แก้ตาฟาง ตาแดง ตาช้ำ ตาแฉะ พิษอักเสบในตา ดับพิษ แก้อักเสบ ชงกับน้ำดื่มแก้วิงเวียนศีรษะ ราก ดับพิษทั้งปวง แก้ตาฝ้า ลดไข้ แก้อาเจียน น้ำยาง ต้น ใบ ราก แก้โรคเบาหวาน หัว ดับพิษทั้งปวง

    สรรพคุณของตำลึง

    รักษาโรคเบาหวาน : ใช้เถาแก่ ๆ ประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น จะสามารถช่วยลดน้ำตาลในเลือดได้

    ลดอาการท้องอืดท้องเฟ้อ : ควรรับประทานสด ๆ เพราะเอนไซม์ในตำลึงจะย่อยสลายง่ายเมื่อโดนความร้อน

    ลดอาการคัน อาการอักเสบเนื่องจากแมลงกัดต่อยและพืชมีพิษ : นำใบตำลึงสด 2-20 ใบ ตำให้ละเอียดผสมกับน้ำ คั้นเอาน้ำ ทาบริเวณที่เป็นจนกว่าจะหาย (ใช้ได้ดี สำหรับหมดคันไฟ หรือใบตำแย)

    แผลอักเสบ : ใช้ใบหรือรากสด ตำพอกบริเวณที่เป็น

    แก้งูสวัด, เริม : ใช้ใบสด 2 กำมือ ล้างให้สะอาด ผสมพิมเสนหรือดินสอพอง 1 ใน 4 ส่วน พอกหรือทาบริเวณที่เกิดอาการ

    แก้ตาช้ำตาแดง : ตัดเถาเป็นท่อนยาวประมาณ 2 นิ้วนำมาคลึงพอช้ำ แล้วเป่า จะเกิดฟองใช้หยอดตา

    ทำให้ใบหน้าเต่งตึง : นำยอดตำลึง 1/2 ถ้วย น้ำผึ้งแท้ 1/2 ถ้วย นำมาผสม ปั่นให้ละเอียด พอกหน้า ทิ้งไว้ 20 นาที แล้วล้างออก ทำทุกวันได้จะดีมาก

    - ใบใช้ในการแก้ไข้ ตัวร้อน ตาแดง ตาเจ็บ
    - เถานำน้ำต้มจากเถาตำลึงมาหยอดตาแก้ตาแดง ตาฟาง
    - ดอกตำลึงช่วยทำให้หายจากอาการคันได้
    - รากใช้แก้อาการอาเจียน ตาฝ้า
    - น้ำยางจากต้นและใบช่วยลดน้ำตาลในเลือด