การกรีดเอาน้ำยาง
ความเจริญงอกงามของต้นยางนั้น ถ้าได้รับการบำรุงรักษาอย่างดีตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
ต้นยางจะโตได้ขนาดกรีดเอาน้ำยางได้ภายใน ๕-๖ ปี
แต่ถ้าปล่อยให้มีวัชพืชหรือหญ้าคารบกวนแล้ว กว่าจะกรีดได้อาจต้องรอไปเป็น ๙ หรือ
๑๐ ปี ทำให้ขาดรายได้ไปมาก ถ้าต้นยางได้รับการบำรุงรักษาดี
หรือมีอาหารอยู่ในดินเพียงพอ ต้นยางจะสูงและลำต้นจะโตได้ขนาดตามที่ควรจะเป็นดังนี้
ความเจริญของต้นยาง (ต้นติดตา) นับตั้งแต่วันปลูก
(วัดลำต้นตรงที่สูงจากพื้นดิน ๑.๕ เมตร)
(วัดลำต้นตรงที่สูงจากพื้นดิน ๑.๕ เมตร)
อายุ
|
ลักษณะความเจริญ
|
๔ เดือน
๘ เดือน ๑๒ เดือน ๑๘ เดือน ๒๔ เดือน ๒ - ๓ ปี ๓ - ๔ ปี ๔ - ๕ ปี ๕ - ๖ ปี |
ควรจะแตกพุ่มใบ ๒ ชั้น
ควรจะสูง ๑-๑.๕ เมตร ควรจะสูง ๒ เมตร วัดรอบลำต้นได้ ๘–๑๐ เซนติเมตร วัดรอบลำต้นได้ ๑๐–๑๗ เซนติเมตร วัดรอบลำต้นได้ ๒๐–๒๘ เซนติเมตร วัดรอบลำต้นได้ ๓๐–๓๙ เซนติเมตร วัดรอบลำต้นได้ ๔๐–๔๘ เซนติเมตร วัดรอบลำต้นได้ ๕๐–๕๘ เซนติเมตร |
โดยเฉลี่ยแล้วลำต้นจะโตขึ้นปีละประมาณ ๑๐ เซนติเมตร ถ้าปลูกด้วยเมล็ด ลำต้นส่วนที่ใกล้พื้นดินจะโตเร็วกว่าต้นติดตาเล็กน้อย หากปรากฏว่า ต้นยางที่ปลูกมิได้เจริญตามขนาดข้างต้น จะต้องรีบหาข้อบกพร่องเพื่อแก้ไขโดยเร็วที่สุด
เมื่อต้นยางเจริญเติบโตอายุได้๕-๖ปีควรจะศึกษาต่อไปว่า
(๑) ควรจะเริ่มกรีดต้นยางเมื่อใด
(๒) ควรเริ่มกรีดตรงส่วนไหนของต้นยาง
(๓) วิธีกรีดต้นยางให้ถูกต้อง
(๔) ควรจะใช้ระบบกรีดยางอย่างไรเพื่อมิให้ต้นยางทรุดโทรม
(๕) การรองน้ำยางและการเก็บน้ำยาง
ควรเริ่มกรีดต้นยางเมื่อใด
ถ้าเป็นต้นยางที่เกิดจากเมล็ด ลักษณะของโคนต้นจะใหญ่กว่าลำต้น
เปลือกตรงโคนต้นจะหนากว่าส่วนบนและมีน้ำยางมากที่สุดเฉพาะตรงโคนต้นเท่านั้น
ยิ่งสูงขึ้นไปเท่าใดเปลือกจะยิ่งบางลง และน้ำยางก็จะยิ่งมีจำนวนน้อยลง
ถ้าทดลองกรีดในระยะสูงต่าง ๆ กัน
จะปรากฏว่า การกรีดสูงจากพื้นดินเพียง ๑๕ เซนติเมตร
จะได้น้ำยางมากกว่ากรีดในระยะสูงจากพื้นดิน ๔๕-๖๐ เซนติเมตร ประมาณ ๑/๒ เท่า
แต่การที่น้ำยางออกมากเกินไป จะเป็นอันตรายแก่ต้นยาง ต้นยางอาจแคระแกร็น
หรือเป็นโรคเปลือกแห้ง จึงควรกรีดให้ได้น้ำยางพอสมควร
และเริ่มกรีดได้เมื่อวัดลำต้นโดยรอบตรงที่สูงจากพื้นดิน ๗๕ เซนติเมตร ได้ขนาดตั้งแต่๕๐เซนติเมตรขึ้นไปให้เริ่มกรีดตรงที่สูงจากพื้นดิน๗๕เซนติเมตร
ถ้าเป็นต้นยางที่ติดตา ลักษณะต้นยางติดตากับต้นยางที่เกิดจากเมล็ดไม่เหมือนกัน สังเกตได้จากลักษณะของลำต้น ถ้าเป็นต้นติดตาตั้งแต่โคนขึ้นไป จนถึงคบมีขนาดเกือบเท่ากัน ต้นที่ติดตานี้ ความหนาของเปลือกและน้ำยางตั้งแต่โคนต้นขึ้นไป จนถึงระดับสูง ๙๐-๑๒๕ เซนติเมตรไม่ต่างกันมากนัก จึงให้เริ่มกรีดได้ เมื่อวัดลำต้นโดยรอบตรงที่สูงจากรอยติดตา ๑๒๕ เซนติเมตร ได้ขนาดกว่า ๕๐ เซนติเมตร ให้เริ่มกรีดตรงที่สูงจากรอยติดตาขึ้นไป๑๒๕เซนติเมตร
วิธีวัดขนาดต้นยาง การวัดขนาดลำต้นของต้นยางนั้น ถ้าหากมีจำนวนต้นยางเป็นจำนวนมากหลายร้อย หลายพันต้น ควรใช้ไม้แบบสำหรับวัด โดยใช้ไม้คล้ายไม้บรรทัดขนาดใหญ่ ยาวเท่ากับความสูงจากพื้นดินถึงตรงที่จะวัดขนาดต้นยาง คือ สูง ๗๕ เซนติเมตร สำหรับต้นที่ปลูกด้วยเมล็ด และ ๑๒๕ เซนติเมตรจากรอยติดตาสำหรับต้นติดตา ตรงปลายมีลวดยาว ๕๐ เซนติเมตร ใช้ไม้วัดตั้งที่พื้นดินหรือตรงรอยติดตาแล้วแต่กรณีแล้วใช้ลวดโอบรอบต้นยาง ถ้าลวดชนกันพอดีหรือลวดไม่ถึงกัน แสดงว่าต้นยางนั้นมีขนาดโตพอที่จะกรีดได้แล้ว
จำนวนต้นยางกรีดได้ต้องมี ๓ ใน ๔ ของต้นยางทั้งหมดจึงค่อยเปิดกรีด ในการเปิดกรีดนั้น ควรรอให้ต้นยางโตสมบูรณ์ได้ขนาดกรีดไม่น้อยกว่า ๓ ใน ๔ ของจำนวนต้นยางทั้งหมด มิฉะนั้น จะทำให้เปลือกที่ใช้ไปในการกรีดของแต่ละต้นสูงไม่สม่ำเสมอ ลักลั่นกันมากไป และจะมีต้นยางที่ละเว้นไม่กรีดไว้มาก จะไม่สะดวกแก่ผู้กรีดยาง แต่ถ้าเป็นสวนยางขนาดเล็กเนื้อที่ไม่เกิน ๕-๖ ไร่ เจ้าของสวนต้องการได้รายได้เร็วก็ไม่จำเป็นต้องรอ
ควรเริ่มกรีดตรงส่วนไหนของต้นยาง
ถ้าเป็นต้นยางที่ติดตา ลักษณะต้นยางติดตากับต้นยางที่เกิดจากเมล็ดไม่เหมือนกัน สังเกตได้จากลักษณะของลำต้น ถ้าเป็นต้นติดตาตั้งแต่โคนขึ้นไป จนถึงคบมีขนาดเกือบเท่ากัน ต้นที่ติดตานี้ ความหนาของเปลือกและน้ำยางตั้งแต่โคนต้นขึ้นไป จนถึงระดับสูง ๙๐-๑๒๕ เซนติเมตรไม่ต่างกันมากนัก จึงให้เริ่มกรีดได้ เมื่อวัดลำต้นโดยรอบตรงที่สูงจากรอยติดตา ๑๒๕ เซนติเมตร ได้ขนาดกว่า ๕๐ เซนติเมตร ให้เริ่มกรีดตรงที่สูงจากรอยติดตาขึ้นไป๑๒๕เซนติเมตร
วิธีวัดขนาดต้นยาง การวัดขนาดลำต้นของต้นยางนั้น ถ้าหากมีจำนวนต้นยางเป็นจำนวนมากหลายร้อย หลายพันต้น ควรใช้ไม้แบบสำหรับวัด โดยใช้ไม้คล้ายไม้บรรทัดขนาดใหญ่ ยาวเท่ากับความสูงจากพื้นดินถึงตรงที่จะวัดขนาดต้นยาง คือ สูง ๗๕ เซนติเมตร สำหรับต้นที่ปลูกด้วยเมล็ด และ ๑๒๕ เซนติเมตรจากรอยติดตาสำหรับต้นติดตา ตรงปลายมีลวดยาว ๕๐ เซนติเมตร ใช้ไม้วัดตั้งที่พื้นดินหรือตรงรอยติดตาแล้วแต่กรณีแล้วใช้ลวดโอบรอบต้นยาง ถ้าลวดชนกันพอดีหรือลวดไม่ถึงกัน แสดงว่าต้นยางนั้นมีขนาดโตพอที่จะกรีดได้แล้ว
จำนวนต้นยางกรีดได้ต้องมี ๓ ใน ๔ ของต้นยางทั้งหมดจึงค่อยเปิดกรีด ในการเปิดกรีดนั้น ควรรอให้ต้นยางโตสมบูรณ์ได้ขนาดกรีดไม่น้อยกว่า ๓ ใน ๔ ของจำนวนต้นยางทั้งหมด มิฉะนั้น จะทำให้เปลือกที่ใช้ไปในการกรีดของแต่ละต้นสูงไม่สม่ำเสมอ ลักลั่นกันมากไป และจะมีต้นยางที่ละเว้นไม่กรีดไว้มาก จะไม่สะดวกแก่ผู้กรีดยาง แต่ถ้าเป็นสวนยางขนาดเล็กเนื้อที่ไม่เกิน ๕-๖ ไร่ เจ้าของสวนต้องการได้รายได้เร็วก็ไม่จำเป็นต้องรอ
ควรเริ่มกรีดตรงส่วนไหนของต้นยาง
เมื่อคัดเลือกต้นยางที่โตได้ขนาดกรีดเอาน้ำยางได้แล้ว ก่อนเปิดกรีด
ควรทำแนวที่จะตั้งต้นกรีดให้เห็นที่หน้ายางให้เสร็จเสียก่อนว่าจะเปิดตรงไหน
สูงเท่าใด จะให้ลาดเอียงลงมาเท่าใด ตามวิธีที่ปฏิบัติอยู่ทั่วไป ถ้าเป็นต้นที่ปลูกด้วยเมล็ดจะกรีดตรงที่สูงจากพื้นดิน
๗๕ เซนติเมตร
โดยกรีดจากซ้ายมือของคนกรีดขณะหันเข้าหาต้นยางลงมาทางขวา โดยกรีดให้เอียงลงมาทำมุม ๒๕ องศา มีความยาวของการกรีดเพียงครึ่งต้น
และถ้าเป็นต้นติดตาจะกรีดตรงที่สูง ๑๒๕ เซนติเมตร ทำมุมเอียงลงมาทางขวา ๓๐ องศา เพื่อให้น้ำยางไหลลงเร็วขึ้น และกรีดยาวครึ่งต้นเช่นกัน
ทั้งนี้เพราะมีน้ำยางมากกว่าต้นที่ปลูกด้วยเมล็ด
เพื่อความสะดวกในการทำแนวตั้งต้นกรีด ให้ได้ระดับสม่ำเสมอกันทุกต้น ควรจะใช้ไม้แบบเช่นเดียวกับไม้วัดขนาดต้นยาง
ไม้แบบที่จะใช้ทำแนวตั้งต้นกรีดนี้ เป็นไม้ขนาดเดียวกันกับที่ใช้วัดลำต้นดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ตอนปลายแทนที่จะใช้ลวดให้ใช้สังกะสีกว้างประมาณ ๕ เซนติเมตร และยาวประมาณ ๔๕ เซนติเมตร ตอกแนบติดเข้ากับทางแบนที่ปลายไม้ข้างหนึ่ง โดยหันชายไปทางซ้าย ไม้แบบที่จะใช้กับต้นที่เกิดจากเมล็ดให้เอียงสังกะสี ทำมุมขึ้นไป ๒๕ องศา และสำหรับต้นติดตาให้ทำมุม ๓๐ องศา
เมื่อจะทำแนวหน้ายางที่จะเปิดกรีด จะใช้ไม้แบบที่เตรียมไว้ตั้งทาบเข้ากับส่วนสูงของลำต้น แล้วแนบแผ่นสังกะสีพันวนไปทางด้านซ้ายมือ ใช้มือซ้ายจับปลายสังกะสีไว้ แล้วขีดเส้นตามแนวบนของแผ่นสังกะสี ตั้งแต่จุดครึ่งต้นของลำต้นไปจนสุดสังกะสีที่ติดอยู่กับไม้ รอยที่เกิดขึ้นนี้ คือ แนวหน้ายางที่จะเปิดกรีดด้วยความยาวครึ่งต้น ซึ่งมีความสูงและความลาดเอียงตามที่กำหนดไว้อย่างถูกต้อง การเปิดกรีดจะเปิดทางทิศเดียวกันทั้งหมด เช่น ทิศเหนือก็ให้เหมือนกันทุกต้น เมื่อใช้ไม้แบบนี้แล้ว ทุกต้นจะถูกกรีดในลักษณะเหมือนกันหมด คือ กรีดในระดับสูงเท่ากัน และกรีดเอียงจากซ้ายไปขวาเหมือนกันหมด
วิธีกรีดต้นยางที่ถูกต้อง
เพื่อความสะดวกในการทำแนวตั้งต้นกรีด ให้ได้ระดับสม่ำเสมอกันทุกต้น ควรจะใช้ไม้แบบเช่นเดียวกับไม้วัดขนาดต้นยาง
ไม้แบบที่จะใช้ทำแนวตั้งต้นกรีดนี้ เป็นไม้ขนาดเดียวกันกับที่ใช้วัดลำต้นดังที่กล่าวมาแล้ว แต่ตอนปลายแทนที่จะใช้ลวดให้ใช้สังกะสีกว้างประมาณ ๕ เซนติเมตร และยาวประมาณ ๔๕ เซนติเมตร ตอกแนบติดเข้ากับทางแบนที่ปลายไม้ข้างหนึ่ง โดยหันชายไปทางซ้าย ไม้แบบที่จะใช้กับต้นที่เกิดจากเมล็ดให้เอียงสังกะสี ทำมุมขึ้นไป ๒๕ องศา และสำหรับต้นติดตาให้ทำมุม ๓๐ องศา
เมื่อจะทำแนวหน้ายางที่จะเปิดกรีด จะใช้ไม้แบบที่เตรียมไว้ตั้งทาบเข้ากับส่วนสูงของลำต้น แล้วแนบแผ่นสังกะสีพันวนไปทางด้านซ้ายมือ ใช้มือซ้ายจับปลายสังกะสีไว้ แล้วขีดเส้นตามแนวบนของแผ่นสังกะสี ตั้งแต่จุดครึ่งต้นของลำต้นไปจนสุดสังกะสีที่ติดอยู่กับไม้ รอยที่เกิดขึ้นนี้ คือ แนวหน้ายางที่จะเปิดกรีดด้วยความยาวครึ่งต้น ซึ่งมีความสูงและความลาดเอียงตามที่กำหนดไว้อย่างถูกต้อง การเปิดกรีดจะเปิดทางทิศเดียวกันทั้งหมด เช่น ทิศเหนือก็ให้เหมือนกันทุกต้น เมื่อใช้ไม้แบบนี้แล้ว ทุกต้นจะถูกกรีดในลักษณะเหมือนกันหมด คือ กรีดในระดับสูงเท่ากัน และกรีดเอียงจากซ้ายไปขวาเหมือนกันหมด
วิธีกรีดต้นยางที่ถูกต้อง
ต้นยาง คือ ขุมทรัพย์
จะต้องระมัดระวังรักษาเปลือกให้กรีดซ้ำได้นานไม่น้อยกว่า ๓๐ ปี ถ้ากรีดไม่ดีต้นยางจะเสียหายกลายเป็นต้นฟืน การกรีดไม่ระมัดระวังจะเป็นเหตุให้
(๑)ต้นยางเป็นแผลตะปุ่มตะป่ำไม่มีที่ให้กรีดอีกต่อไป
(๒)จะกรีดซ้ำที่เดิมในรอบที่๒และรอบที่๓ อีกไม่ได้
(๓)ต้นยางจะทรุดโทรมให้น้ำยางน้อยลงหรือ อาจไม่ให้เลยก็ได้
ตามธรรมชาติของเปลือกต้นยาง ลึกเข้าไปภายในเปลือกประมาณ ๖ - ๑๐ มิลลิเมตร ก่อนถึงเยื่อเจริญจะมีท่อน้ำยางเรียงกันอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น ถ้าจะกรีดให้ได้น้ำยางมากที่สุด จะต้องกรีดให้ใกล้เยื่อเจริญ แต่ไม่ต้องชิดกับเยื่อเจริญมากนัก เพราะจะเป็นอันตรายแก่เยื่อเจริญ เยื่อเจริญมีหน้าที่เพิ่มเปลือกใหม่ให้งอกมาแทนเปลือกเก่าที่ถูกกรีดทิ้งไป ถ้าเยื่อเจริญไม่ได้รับอันตราย เปลือกที่งอกขึ้นใหม่จะเรียบสม่ำเสมอ กรีดซ้ำอีกได้ การกรีดต้องอาศัยความชำนาญมาก การหัดกรีดโดยใช้เวลาเพียง ๒-๓ เดือน จะเป็นคนกรีดยางที่ชำนาญยังไม่ได้
การกรีดยางจำเป็นต้องใช้มีดกรีดยางอย่างคม และจำเป็นจะต้องฝึกกรีดให้ชำนาญเสียก่อน
นอกจากกรีดไม่ให้ลึกเกินไปแล้ว จะต้องพยายามกรีดให้เปลือกบางที่สุดครั้งละประมาณ ๑.๕ มิลลิเมตร เดือนหนึ่ง ๆ กรีดเปลือกออกไม่ควรเกิน ๒.๕ เซนติเมตร ต้นยางต้นหนึ่ง ๆ ควรถนอมเปลือกไว้ให้กรีดได้อย่างน้อย ๓ รอบ โดยใช้เวลากรีดให้ได้กว่า ๓๐ ปี ถ้าเปลือกยังดีเมื่อต้นยางอายุกว่า ๑๕ - ๒๐ ปีแล้ว ยังมีทางที่จะใช้ยาเร่งน้ำยาง จะช่วยให้ได้น้ำยางเพิ่มมากขึ้น จะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับพันธุ์ยางด้วย บางพันธุ์เพิ่มได้อีกเท่าตัว
คนกรีดยางคนหนึ่งควรให้กรีดได้ประมาณ ๓๕๐-๔๕๐ ต้นเท่านั้น โดยให้กรีดอย่างประณีต ระมัดระวัง ไม่ต้องรีบร้อน และควรให้กรีดตั้งแต่เช้ามืดเมื่อมองเห็นเปลือกต้นยางแล้ว การกรีดอย่างรีบร้อนและกรีดในตอนดึก นอกจากทำให้ต้นยางเสียหายได้ง่ายแล้ว สุขภาพของคนงานจะไม่สมบูรณ์ และอาจได้รับ
(๑)ต้นยางเป็นแผลตะปุ่มตะป่ำไม่มีที่ให้กรีดอีกต่อไป
(๒)จะกรีดซ้ำที่เดิมในรอบที่๒และรอบที่๓ อีกไม่ได้
(๓)ต้นยางจะทรุดโทรมให้น้ำยางน้อยลงหรือ อาจไม่ให้เลยก็ได้
ตามธรรมชาติของเปลือกต้นยาง ลึกเข้าไปภายในเปลือกประมาณ ๖ - ๑๐ มิลลิเมตร ก่อนถึงเยื่อเจริญจะมีท่อน้ำยางเรียงกันอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น ถ้าจะกรีดให้ได้น้ำยางมากที่สุด จะต้องกรีดให้ใกล้เยื่อเจริญ แต่ไม่ต้องชิดกับเยื่อเจริญมากนัก เพราะจะเป็นอันตรายแก่เยื่อเจริญ เยื่อเจริญมีหน้าที่เพิ่มเปลือกใหม่ให้งอกมาแทนเปลือกเก่าที่ถูกกรีดทิ้งไป ถ้าเยื่อเจริญไม่ได้รับอันตราย เปลือกที่งอกขึ้นใหม่จะเรียบสม่ำเสมอ กรีดซ้ำอีกได้ การกรีดต้องอาศัยความชำนาญมาก การหัดกรีดโดยใช้เวลาเพียง ๒-๓ เดือน จะเป็นคนกรีดยางที่ชำนาญยังไม่ได้
การกรีดยางจำเป็นต้องใช้มีดกรีดยางอย่างคม และจำเป็นจะต้องฝึกกรีดให้ชำนาญเสียก่อน
นอกจากกรีดไม่ให้ลึกเกินไปแล้ว จะต้องพยายามกรีดให้เปลือกบางที่สุดครั้งละประมาณ ๑.๕ มิลลิเมตร เดือนหนึ่ง ๆ กรีดเปลือกออกไม่ควรเกิน ๒.๕ เซนติเมตร ต้นยางต้นหนึ่ง ๆ ควรถนอมเปลือกไว้ให้กรีดได้อย่างน้อย ๓ รอบ โดยใช้เวลากรีดให้ได้กว่า ๓๐ ปี ถ้าเปลือกยังดีเมื่อต้นยางอายุกว่า ๑๕ - ๒๐ ปีแล้ว ยังมีทางที่จะใช้ยาเร่งน้ำยาง จะช่วยให้ได้น้ำยางเพิ่มมากขึ้น จะมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับพันธุ์ยางด้วย บางพันธุ์เพิ่มได้อีกเท่าตัว
คนกรีดยางคนหนึ่งควรให้กรีดได้ประมาณ ๓๕๐-๔๕๐ ต้นเท่านั้น โดยให้กรีดอย่างประณีต ระมัดระวัง ไม่ต้องรีบร้อน และควรให้กรีดตั้งแต่เช้ามืดเมื่อมองเห็นเปลือกต้นยางแล้ว การกรีดอย่างรีบร้อนและกรีดในตอนดึก นอกจากทำให้ต้นยางเสียหายได้ง่ายแล้ว สุขภาพของคนงานจะไม่สมบูรณ์ และอาจได้รับ
ต้องใช้ระบบกรีดที่ให้น้ำยางออกพอสมควร
เมื่อเริ่มกรีดควรกรีดโดยให้น้ำยางออกแต่น้อยก่อน จะต้องกรีดครึ่งรอบต้น กรีดวันเว้นสองวัน
ไม่น้อยกว่า ๕-๖ เดือน แล้วจึงกรีดครึ่งต้นวันเว้นวัน และควรให้มีระยะพักอีกบ้าง
มีข้อควรจำไว้เสมอว่า ถ้ากรีดเอาน้ำยางออกมากเกินไป ต้นยางจะเป็นโรคเปลือกแห้ง
ยางพันธุ์ดีเกือบทุกชนิดมักเป็นโรคเปลือกแห้งง่ายกว่าต้นยางพันธุ์ธรรมดา
และเมื่อเปิดกรีดแล้ว จะต้องสังเกตดูอาการของต้นยางต่อไปด้วยว่า
ต้นยางต้นใดให้น้ำยางลดน้อยลง หรือมีต้นยางต้นใดเป็นโรคเปลือกแห้ง
(ไม่มีน้ำยางออกเลย) กี่ต้น
ถ้าปรากฏว่า ต้นใดผิดสังเกตให้หยุดกรีด แต่ถ้าปรากฏว่า
มีมากประมาณร้อยละ ๕ ของต้นยางทั้งสวน
ให้เปลี่ยนเป็นกรีดครึ่งรอบต้นทุกวันที่สาม และให้พักต้นยางที่ทรุดโทรมเสียประมาณ
๖ เดือน แล้วจึงทดลองกรีดต่อไปใหม่
ระบบการกรีดยาง เป็นวิธีวัดค่าโดยประมาณว่า การกรีดระบบใดจะเกิดภาระแก่ต้นยางมากน้อยเท่าใด แต่เดิมมาเรียกระบบกันหลายชื่อ สถาบันค้นคว้าการยางแต่ละแห่งเรียกไม่เหมือนกัน ในที่สุด ได้ตกลงเรียกและใช้สัญลักษณ์อย่างเดียวกัน โดยได้กำหนดความพอดีของความยาวของรอยกรีดกับความบ่อยครั้งของการกรีดไว้ดังนี้
"การกรีดยางครึ่งต้นโดยกรีดวันเว้นวัน เป็นการกรีดให้เกิดภาระแก่ต้นยางพอดี ๑๐๐%" เมื่อได้กำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นแล้ว
ฉะนั้น การกรีดครึ่งรอบต้นโดยกรีดวันเว้นวัน กับการกรีดรอบต้นแต่กรีดทุก ๆ ๔ วัน ต้นยางจะรับภาระจากการกรีด ๑๐๐% เท่ากัน การที่ให้มีทางคำนวณโดยประมาณได้เช่นนี้ เป็นประโยชน์มาก เพื่อให้เจ้าของสวนยางเลือกระบบกรีดเอาได้ เช่น การกรีด ๒ ระบบข้างต้น เจ้าของสวนยางเลือกใช้เอาได้ตามความจำเป็น สมมุติว่า มีสวนยางอยู่ ๔๐๐ ไร่ คนหนึ่งกรีดได้ประมาณ ๑๐ ไร่ (๔๐๐-๔๕๐ ต้น) ถ้ากรีดวันเว้นวัน ต้องใช้คนกรีด ๒๐ คน เพื่อกรีดยางให้ได้วันละ ๒๐๐ ไร่ แต่ถ้าในท้องที่นั้น หาคนงานที่มีฝีมือกรีดดี ๆ ยาก ก็จำเป็นต้องใช้คนกรีดให้น้อยลง แต่ต้องการให้ได้ผลิตผลเท่าเดิมด้วย จึงเปลี่ยนระบบกรีดเป็นกรีดรอบต้น แต่กรีดทุก ๔ วัน ฉะนั้น จึงแบ่งสวนออกเป็น ๔ ส่วน เพื่อหมุนเวียนกรีดวันละ ๑ ส่วน วันหนึ่ง ๆ จึงมีสวนที่จะกรีดเพียง ๑๐๐ ไร่ และใช้คนงานเพียง ๑๐ คนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ถึง ๒๐ คน การจัดหาที่พัก และการควบคุมก็ง่าย ระบบกรีดจึงมีความสำคัญมาก การที่จะใช้ระบบกรีดระบบใดได้ผลหรือไม่ได้ผล ขึ้นอยู่กับพันธุ์ยางด้วยเหมือนกัน บางพันธุ์ชอบอย่างนั้น บางพันธุ์ชอบอย่างนี้ ฉะนั้น เจ้าของสวนยางจะต้องศึกษาและใช้ความสังเกตไปด้วย
ระบบการกรีดยาง เป็นวิธีวัดค่าโดยประมาณว่า การกรีดระบบใดจะเกิดภาระแก่ต้นยางมากน้อยเท่าใด แต่เดิมมาเรียกระบบกันหลายชื่อ สถาบันค้นคว้าการยางแต่ละแห่งเรียกไม่เหมือนกัน ในที่สุด ได้ตกลงเรียกและใช้สัญลักษณ์อย่างเดียวกัน โดยได้กำหนดความพอดีของความยาวของรอยกรีดกับความบ่อยครั้งของการกรีดไว้ดังนี้
"การกรีดยางครึ่งต้นโดยกรีดวันเว้นวัน เป็นการกรีดให้เกิดภาระแก่ต้นยางพอดี ๑๐๐%" เมื่อได้กำหนดหลักเกณฑ์ขึ้นแล้ว
ฉะนั้น การกรีดครึ่งรอบต้นโดยกรีดวันเว้นวัน กับการกรีดรอบต้นแต่กรีดทุก ๆ ๔ วัน ต้นยางจะรับภาระจากการกรีด ๑๐๐% เท่ากัน การที่ให้มีทางคำนวณโดยประมาณได้เช่นนี้ เป็นประโยชน์มาก เพื่อให้เจ้าของสวนยางเลือกระบบกรีดเอาได้ เช่น การกรีด ๒ ระบบข้างต้น เจ้าของสวนยางเลือกใช้เอาได้ตามความจำเป็น สมมุติว่า มีสวนยางอยู่ ๔๐๐ ไร่ คนหนึ่งกรีดได้ประมาณ ๑๐ ไร่ (๔๐๐-๔๕๐ ต้น) ถ้ากรีดวันเว้นวัน ต้องใช้คนกรีด ๒๐ คน เพื่อกรีดยางให้ได้วันละ ๒๐๐ ไร่ แต่ถ้าในท้องที่นั้น หาคนงานที่มีฝีมือกรีดดี ๆ ยาก ก็จำเป็นต้องใช้คนกรีดให้น้อยลง แต่ต้องการให้ได้ผลิตผลเท่าเดิมด้วย จึงเปลี่ยนระบบกรีดเป็นกรีดรอบต้น แต่กรีดทุก ๔ วัน ฉะนั้น จึงแบ่งสวนออกเป็น ๔ ส่วน เพื่อหมุนเวียนกรีดวันละ ๑ ส่วน วันหนึ่ง ๆ จึงมีสวนที่จะกรีดเพียง ๑๐๐ ไร่ และใช้คนงานเพียง ๑๐ คนเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ถึง ๒๐ คน การจัดหาที่พัก และการควบคุมก็ง่าย ระบบกรีดจึงมีความสำคัญมาก การที่จะใช้ระบบกรีดระบบใดได้ผลหรือไม่ได้ผล ขึ้นอยู่กับพันธุ์ยางด้วยเหมือนกัน บางพันธุ์ชอบอย่างนั้น บางพันธุ์ชอบอย่างนี้ ฉะนั้น เจ้าของสวนยางจะต้องศึกษาและใช้ความสังเกตไปด้วย
การรองน้ำยางและการเก็บรวบรวม
เมื่อมีการเปิดกรีดต้นยาง
จำเป็นต้องเตรียมเครื่องมือเครื่องใช้ที่จะใช้รองน้ำยาง
และรวบรวมน้ำยางให้พร้อมด้วย คือ
(๑) รางรองน้ำยาง มีลักษณะเป็นรางเล็ก ๆ ทำด้วยสังกะสี มีขนาดเท่าด้ามช้อนสังกะสี สำหรับติดใต้รอยกรีด เพื่อรองน้ำยางให้ไหลลงถ้วย
(๒) ถ้วยรองน้ำยาง ควรเป็นวัตถุถาวร เท่าที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ใช้ถ้วยดินเผาเคลือบภายใน ขนาดจุ ๒๐๐-๕๐๐ ซีซี
(๓) ลวดวางถ้วยรองน้ำยาง เพื่อให้วางถ้วยรองน้ำยางได้สะดวก จะต้องมีลวดทำเป็นห่วง สำหรับวางถ้วยให้ติดกับต้นยางด้วย
(๔) ถังเก็บน้ำยางและถังรวมน้ำยาง เมื่อกรีดยางแล้วประมาณ ๓ ชั่วโมง น้ำยางจะหยุดไหล (บางพันธุ์ อาจจะยังไหลต่อไปอีก ๑-๒ ชั่วโมง) จึงใช้ถังหูหิ้วขนาดที่จะหิ้วไปได้ เช่น ขนาดจุ ๑๐-๑๕ ลิตร เมื่อเก็บน้ำยางเต็มแล้วก็เอาไปเทรวมไว้ในถังรวม ซึ่งมีหลายรูปหลายแบบ แล้วแต่ความสะดวกในการขนส่งเป็นสวน ๆ ไป บางสวนทำเป็นถังสังกะสีหรืออะลูมิเนียมให้เหมาะที่จะวางท้ายรถจักรยานหรือรถจักรยานยนต์ได้และบางรายก็ทำให้ปากแคบ จะได้ไม่กระฉอก ถ้าสวนยางขนาดใหญ่ จะใช้รถยนต์บรรทุกมาลำเลียงเอาไป โดยเทรวมลงในถังใหญ่ ซึ่งมีรูปร่างคล้ายถังที่ใช้ในรถยนต์บรรทุกน้ำมัน
น้ำยางทั้งหมดนี้มีสภาพเป็นน้ำและเสียได้เร็ว จำเป็นต้องรีบส่งไปยังโรงงาน เพื่อทำเป็นยางชนิดต่าง ๆ ออกจำหน่ายต่อไป
ข้อสำคัญในการกรีดเอาน้ำยาง ตั้งแต่การกรีดยาง ถ้วยยาง ถังเก็บน้ำยาง ถังรวมน้ำยาง ทุก ๆ ขั้นจะต้องรักษาความสะอาดอย่างดีที่สุด ไม่ให้สกปรก และไม่ให้มีผงลงไปในน้ำยาง เพื่อว่ายางที่ทำออกมาจะได้จำหน่ายได้ในราคาดี
(๑) รางรองน้ำยาง มีลักษณะเป็นรางเล็ก ๆ ทำด้วยสังกะสี มีขนาดเท่าด้ามช้อนสังกะสี สำหรับติดใต้รอยกรีด เพื่อรองน้ำยางให้ไหลลงถ้วย
(๒) ถ้วยรองน้ำยาง ควรเป็นวัตถุถาวร เท่าที่ใช้กันอยู่ทั่วไป ใช้ถ้วยดินเผาเคลือบภายใน ขนาดจุ ๒๐๐-๕๐๐ ซีซี
(๓) ลวดวางถ้วยรองน้ำยาง เพื่อให้วางถ้วยรองน้ำยางได้สะดวก จะต้องมีลวดทำเป็นห่วง สำหรับวางถ้วยให้ติดกับต้นยางด้วย
(๔) ถังเก็บน้ำยางและถังรวมน้ำยาง เมื่อกรีดยางแล้วประมาณ ๓ ชั่วโมง น้ำยางจะหยุดไหล (บางพันธุ์ อาจจะยังไหลต่อไปอีก ๑-๒ ชั่วโมง) จึงใช้ถังหูหิ้วขนาดที่จะหิ้วไปได้ เช่น ขนาดจุ ๑๐-๑๕ ลิตร เมื่อเก็บน้ำยางเต็มแล้วก็เอาไปเทรวมไว้ในถังรวม ซึ่งมีหลายรูปหลายแบบ แล้วแต่ความสะดวกในการขนส่งเป็นสวน ๆ ไป บางสวนทำเป็นถังสังกะสีหรืออะลูมิเนียมให้เหมาะที่จะวางท้ายรถจักรยานหรือรถจักรยานยนต์ได้และบางรายก็ทำให้ปากแคบ จะได้ไม่กระฉอก ถ้าสวนยางขนาดใหญ่ จะใช้รถยนต์บรรทุกมาลำเลียงเอาไป โดยเทรวมลงในถังใหญ่ ซึ่งมีรูปร่างคล้ายถังที่ใช้ในรถยนต์บรรทุกน้ำมัน
น้ำยางทั้งหมดนี้มีสภาพเป็นน้ำและเสียได้เร็ว จำเป็นต้องรีบส่งไปยังโรงงาน เพื่อทำเป็นยางชนิดต่าง ๆ ออกจำหน่ายต่อไป
ข้อสำคัญในการกรีดเอาน้ำยาง ตั้งแต่การกรีดยาง ถ้วยยาง ถังเก็บน้ำยาง ถังรวมน้ำยาง ทุก ๆ ขั้นจะต้องรักษาความสะอาดอย่างดีที่สุด ไม่ให้สกปรก และไม่ให้มีผงลงไปในน้ำยาง เพื่อว่ายางที่ทำออกมาจะได้จำหน่ายได้ในราคาดี
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น