วิชานิติเวชศาสตร์
วิชานิติเวชวิทยา มีสอนครั้งแรกในหลักสูตรแพทย์ประกาศนียบัตรของโรงเรียนแพทย์แห่งแรกของประเทศไทย
มีหลักฐานว่ามีการสอนในชั้นปีที่ ๔ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๖
เข้าใจว่าพระยาดำรงแพทยาคุณ (ชื่น พุทธิแพทย์ พ.ศ. ๒๔๒๔-๒๔๙๖)
เป็นอาจารย์ผู้สอนท่านแรก และท่านผู้นี้เป็นผู้บัญญัติศัพท์
"นิติเวชวิทยา" นี้ด้วย ส่วนวิชา
"พิษวิทยา" (toxicology) (กล่าวถึงเรื่องการเกิดพิษ
ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนิติเวชศาสตร์) นั้น ปรากฏว่ามีการสอนตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๔๖
ต่อมาเมื่อมีการปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาแพทยศาสตร์เพื่อให้เข้ามาตรฐานขั้นปริญญาใน
พ.ศ. ๒๔๖๔ ด้วยความช่วยเหลือของมูลนิธิร็อกกีเฟลเลอร์ (Rockefeller
Foundation) วิชาทั้งสองดังกล่าว
ไม่ปรากฏอยู่ในหลักสูตรปริญญาเวชบัณฑิต คงมีหลักฐานปรากฏเพียงว่า พระยาดำรงฯ
สอนวิชานี้อยู่จนถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๐
นิติเวชวิทยา แปลมาจากคำภาษาอังกฤษว่า forensic medicine (forensic มาจากภาษาละตินว่า forensis แปลว่าที่ตกลงข้อพิพาททางกฎหมาย ส่วน medicine ในที่นี้หมายถึงวิชาแพทย์ แปลว่า แพทยศาสตร์หรือเวชศาสตร์) แต่ตามกฎเกณฑ์การแปลนั้น คำว่า "วิทยา" จะแปลมาจากคำในภาษาอังกฤษที่ลงท้ายด้วย "logy" เสมอ เช่น ชีววิทยา แปลมาจาก biology สรีรวิทยา มาจาก physiology จิตวิทยามาจาก psychology ปราสิตวิทยา มาจาก parasitology และสังคมวิทยา มาจาก sociology เป็นต้น ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ถ้าใช้ "นิติเวชวิทยา" ย่อมไม่เป็นไปตามหลักเกณฑ์ข้างต้น และ ปัจจุบันคำว่า "เวชศาสตร์" แปลมาจากคำว่า "medicine" ซึ่งมีที่ใช้อยู่หลายคำ ได้แก่ เวชศาสตร์การบิน มาจาก aviation medicine เวชศาสตร์อุตสาหกรรม มาจาก industrial medicine เวชศาสตร์ป้องกันมาจาก preventive medicine กีฬาเวชศาสตร์ มาจาก sports medicine เป็นต้น ดังนั้นการแปล forensic medicine เป็นนิติเวชศาสตร์ จึงนับว่าเป็นศัพท์ที่เข้าชุดกันดี นอกจากนี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ ก็ยอมรับคำว่า "นิติเวชศาสตร์" นี้เข้าไว้ด้วยแล้ว
ยังมีศัพท์ภาษาอังกฤษอีก ๒ คำที่ใช้แทนคำว่า forensic medicine คือคำว่า medical jurisprudence (jurisprudence แปลว่า กฎหมาย) กับคำว่า legal medicine (legal ก็แปลว่า กฎหมาย) แต่อย่างไรก็ตาม คำสุดท้ายดูจะตรงคำแปลที่ใช้ว่า "นิติศาสตร์" มากที่สุด
บุคคลที่เป็นผู้บุกเบิกให้วิชานิติเวชศาสตร์ ได้เป็นผู้ที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายในประเทศไทย และสมควรที่จะได้รับเกียรติให้เป็นบิดาแห่งวิชานิติเวชศาสตร์ในประเทศไทย ได้แก่ ศาสตราจารย์ นายแพทย์สงกรานต์ นิยมเสน (พ.ศ. ๒๔๕๕-๒๕๑๓) อดีตหัวหน้าภาควิชานิติเวชวิทยา (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นภาควิชานิติเวชศาสตร์) แห่งคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยมหิดล) ท่านผู้นี้สำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต จากคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ใน พ.ศ. ๒๔๗๗ (แพทย์ปริญญารุ่น ๗) และเป็นแพทย์ประจำบ้านในแผนกสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา อยู่ ๑ ปี ก็ออกไปสมัครเข้ารับราชการในกรมตำรวจ (แผนกแพทย์กองกลาง) และได้ลาออกจากกรมตำรวจ เนื่องจากได้รับทุนของมูลนิธิอเล็กซานเดอร์ ฟอน ฮุมโบลดท์ (Alexander von Humboldt) ไปศึกษาต่อที่ประเทศเยอรมนี ใน พ.ศ. ๒๔๘๑ และได้รับปริญญาแพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิต (Dr. med.) จากมหาวิทยาลัยฮัมเบอร์ก ใน พ.ศ. ๒๔๘๓ ต่อจากนั้นก็ได้ฝึกอบรมและดูงานทางนิติเวชศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยเบอร์ลินอีกระยะหนึ่งก่อนกลับประเทศไทย เมื่อกลับมาก็เข้ารับราชการเป็นอาจารย์ในแผนกพยาธิวิทยา คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล ใน พ.ศ. ๒๔๘๔ ได้รับมอบหมายให้สอนในวิชาปราสิตวิทยา ขณะเดียวกันอาจารย์สงกรานต์ได้พยายามชักจูงให้คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาลเห็นความสำคัญของวิชานิติเวชศาสตร์ เพื่อให้มีการสอนวิชานี้อยู่ในหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๔๘๗ อาจารย์สงกรานต์ก็ได้รับอนุญาตให้ทำการสอน "นิติเวชวิทยา" แก่นักศึกษาชั้นปีที่ ๔ สัปดาห์ละ ๑ ชั่วโมง ในภาคเรียนที่ ๓ (แต่ไม่มีการสอบเพราะเป็นการเรียนนอกหลักสูตร) นับได้ว่ารุ่นนี้เป็นแพทย์ปริญญารุ่นแรกที่ได้เรียน "นิติเวชวิทยา" และนับได้ว่าเป็นก้าวแรกที่อาจารย์สงกรานต์ได้ประสบความสำเร็จในการวางรากฐานของวิชานี้ ในคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ได้เกิดเหตุการณ์ที่มีความสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติไทย และประวัติของนิติเวชศาสตร์ในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง นั่นคือ กรณีสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และเมื่อมีการตั้งกรรมการแพทย์ชันสูตรพระบรมศพ อาจารย์สงกรานต์ก็เป็นผู้หนึ่งที่ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการ ในฐานะพยาธิแพทย์และผู้ชำนาญวิชานิติเวชศาสตร์ร่วมกับนายแพทย์ผู้ใหญ่อื่นๆ อีกหลายท่าน และท่านได้ร่วมกับนายแพทย์สุด แสงวิเชียร หัวหน้าแผนกกายวิภาคศาสตร์ ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการเช่นเดียวกัน ทำการผ่าพิสูจน์พระบรมศพ และเพื่อให้มีการพิสูจน์ที่กระจ่างชัด อาจารย์สงกรานต์จึงได้เสนอแผนการทดลองยิงศพต่อคณะกรรมการชันสูตรพระบรมศพ และคณะกรรมการอนุมัติให้ทำการทดลองตามข้อเสนอแนะนั้น นับได้ว่าอาจารย์สงกรานต์ได้นำเอาการทดลองทางวิทยาศาสตร์การแพทย์มาสนับสนุน ในการปฏิบัติงานทางนิติเวชศาสตร์เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ปัจจุบันนี้วัตถุพยานซึ่งเป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจพระบรมศพ ตลอดจนลักษณะของผิวหนังที่เป็นบาดแผลจากการทดลองยิงรวมทั้งกะโหลกศีรษะ ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์ของภาควิชานิติศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล จากผลงานของอาจารย์สงกรานต์ ในกรณีดังกล่าว คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล คงจะเห็นความสำคัญในวิชานิติเวชศาสตร์ที่อาจารย์สอนศึกษาในชั้นปีที่ ๔ ขึ้นบ้างแล้ว จึงให้มีการสอบไล่วิชานี้ในปีการศึกษา ๒๔๘๙ แต่ก็มิได้มีการนำคะแนนสอบได้ไปรวมในการสอบเพื่อปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตแต่อย่างใด แม้จนกระทั่งในระยะต่อมามีการสอนวิชานี้ให้กับนักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่ ๔ ในภาคเรียนสุดท้าย เพิ่มขึ้นเป็นสัปดาห์ละ ๒ ชั่วโมง และมีการสอบไล่โดยนำคะแนนไปรวมกับวิชารังสีวิทยา ต่อมาเมื่อมีการตั้งภาควิชานิติเวชศาสตร์ขึ้นแล้ว ในการสอบไล่ถือว่าวิชานี้เป็นวิชาย่อยวิชาหนึ่ง เช่นเดียวกับจักษุวิทยาและรังสีวิทยา โดยที่ถ้านักศึกษาสอบตกในวิชาย่อยเหล่านี้ ๒ วิชามีผลเท่ากับตกวิชาใหญ่ ๑ วิชา และนักศึกษาอาจถูกให้ปฏิบัติงานเพิ่มเติมในสาขาวิชาย่อยที่ตกนี้ด้วยก็ได้
สำหรับกรณีสวรรคตนี้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลในภายหลัง และเมื่อได้มีการสอบสวนและดำเนินการฟ้องร้องมหาดเล็กห้องพระบรรทมเป็นจำเลยต่อศาลแล้ว รัฐบาลยังได้สั่งให้อาจารย์สงกรานต์ไปติดต่อกับศาสตราจารย์เคียท ซิมป์สัน (Keith Simpson) ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ทางนิติเวชศาสตร์ที่มีชื่อเสียงแห่งคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลกาย มหาวิทยาลัยลอนดอน ในปี พ.ศ. ๒๔๙๑ เพื่อขอความคิดเห็นจากศาสตราจารย์ผู้นี้และรัฐบาลไทยในขณะนั้น ได้ขอเชิญศาสตราจารย์ผู้นี้มาแสดงความเห็นในฐานะพยานผู้ชำนาญการพิเศษในศาลด้วย แต่เนื่องจากมีเหตุขัดข้องบางประการ ศาสตราจารย์เคียท ซิมป์สัน จึงมิได้มาเป็นพยานในศาลไทย
ในด้านการสอน หลังจากกรณีสวรรคตเป็นต้นมา อาจารย์สงกรานต์ ได้รับเชิญไปสอนในสถาบันการศึกษานอกจากคณะแพทยศาสตร์มากมายหลายแห่ง โดยเริ่มไปสอนนักเรียนนายร้อยตำรวจในปี พ.ศ. ๒๔๙๓ และเมื่อมีการตั้งโรงเรียนสืบสวนสอบสวนกรมตำรวจขึ้น ใน พ.ศ. ๒๔๙๕ อาจารย์สงกรานต์ก็ได้รับเชิญไปสอนเช่นกัน
ใน พ.ศ. ๒๔๙๘ อาจารย์สงกรานต์ได้รับเชิญไปสอนให้นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้การอบรมพนักงานอัยการและผู้ช่วยผู้พิพากษา พ.ศ. ๒๔๙๙ สอนให้แก่นักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. ๒๕๐๐ สอนนักศึกษา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย นักศึกษาปริญญาโทคณะสาธารณสุขศาสตร์ และต่อๆมาก็มีสถาบันต่างๆ เชิญอาจารย์สงกรานต์ไปให้การสอนและอบรมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดมา แม้จนวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของอาจารย์ อาจารย์ก็ยังได้รับเชิญไปให้การอบรมและสอนแก่นักศึกษา หรือผู้ประกอบวิชาชีพของสถาบันต่างๆดังกล่าวมาแล้วหลายแห่ง และเนื่องจากงานสอนทางนิติเวชศาสตร์เพิ่มมากขึ้น อาจารย์สงกรานต์ได้เลิกสอนปราสิตวิทยาใน พ.ศ. ๒๔๙๔
ในด้านการปฏิบัติงาน ซึ่งจำเป็นต้องมีควบคู่ไปกับการสอน เพื่อจะได้มีวัตถุดิบมาประกอบการเรียนการสอนและมีการฝึกฝนหาความชำนาญ ตลอดจนทำการค้นคว้าวิจัยควบคุมไปด้วยนั้น อาจารย์สงกรานต์ได้เป็นผู้ริเริ่มในเรื่องนี้ โดยได้ทำบันทึกลงวันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๕ ถึงหัวหน้าแผนกพยาธิวิทยาเสนอให้โรงพยาบาลศิริราชรับศพที่มีคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งมา โดยที่ขณะนั้นโรงพยาบาลศิริราชไม่รับผู้ป่วยที่มีคดีไว้รักษาพยาบาล นอกจากรับเพียงบางรายเป็นครั้งคราว ฉะนั้น ผู้ป่วยที่ตายในโรงพยาบาลศิริราช ส่วนใหญ่จึงมิใช่ศพคดีที่ต้องมีการชันสูตรพลิกศพตามกฎหมาย (โรงพยาบาลที่รับผู้ป่วยคดีและศพคดีเป็นประจำ ได้แก่ โรงพยาบาลกลาง) คณะกรรมการคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลได้อนุมัติในหลักการดังกล่าว นายแพทย์ ชัชวาลย์ โอสถานนท์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศิริราชในขณะนั้นจึงทำหนังสือลงวันที่ ๑๖ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๙๕ ถึงอธิบดีกรมตำรวจแจ้งว่าทางโรงพยาบาลศิริราชยินดีจะช่วยเหลือกิจการด้านชันสูตรพลิกศพ ฯลฯ เกี่ยวกับคดีต่างๆของทางการ และทางกรมตำรวจจึงได้ออกแจ้งความไปยังพนักงานสอบสวนให้ทราบทั่วกัน แจ้งความดังกล่าวลงวันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๙๕ พล.ต.ต.โชติ โชติชนาภิบาล รองอธิบดีเป็นผู้ลงนามแทนอธิบดี ในระยะแรกที่มีแจ้งความของกรมตำรวจออกไปแล้ว พนักงานสอบสวนยังส่งศพไปตรวจพิสูจน์ ที่โรงพยาบาลศิริราชเพียงเล็กน้อย อาจารย์สงกรานตจึงได้ทำบันทึกถึงผู้บังคับการโรงเรียนสืบสวนสอบสวนกรมตำรวจ ในฐานะอาจารย์ที่สอนในโรงเรียนสืบสวนสอบสวนด้วย โดยขอให้ทางโรงเรียนหาวิธีการที่ให้มีการส่งศพไปตรวจที่โรงพยาบาลศิริราชมากขึ้น เพื่อประโยชน์ในการศึกษาภาคปฏิบัติทั้งนักเรียนนายร้อยตำรวจและนักเรียนสืบสวนด้วย บันทึกฉบับนี้ของอาจารย์คงจะมีผลให้ทางโรงเรียนสืบสวนสอบสวนขอความร่วมมือหรือบังคับกลายๆ ให้นักเรียนสืบสวนซึ่งมาจากพนักงานสอบสวนทั่วประเทศ ได้ให้ความร่วมมือในการส่งศพไปตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช และตั้งแต่นั้นมาโรงพยาบาลศิริราช ก็ได้รับศพจากพนักงานสอบสวนส่งมาตรวจเป็นจำนวนมากและเพิ่มขึ้นทุกปี ส่วนทางโรงพยาบาลศิริราชเองก็คงจะเห็นความจำเป็น ที่ไม่อาจปฏิเสธที่จะรับผู้ป่วยที่มีคดีไว้รักษาพยาบาลในโรงพยาบาลอีกต่อไปได้ จึงได้มีระเบียบการรับชันสูตรผู้ป่วยมีคดีออกใช้ในวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๔๙๖ จึงนับว่าคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ได้ให้บริการทางด้านนิติเวชศาสตร์โดยสมบูรณ์ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และในต้นปี พ.ศ. ๒๔๙๖ นี้เอง แผนกวิชาพยาธิวิทยาก็ได้รับแพทย์ประจำบ้านทางสาขานิติเวชวิทยาไว้ ๑ คน นับว่างานนิติเวชศาสตร์ในขณะนั้นได้ถือกำเนิดเป็นสาขาหนึ่งในแผนกวิชาพยาธิวิทยาโดยสมบูรณ์เช่นเดียวกัน
เนื่องจากอาจารย์สงกรานต์เห็นว่างานนิติเวชศาสตร์นั้นเกี่ยวข้องอยู่กับกฎหมาย จึงได้ไปสมัครเรียนกฎหมายที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย จนสำเร็จได้ปริญญาธรรมศาสตร์บัณฑิตใน พ.ศ. ๒๔๙๕ และในปีเดียวกันนี้ทางกรมตำรวจได้มีการก่อตั้งโรงพยาบาลตำรวจขึ้น อาจารย์สงกรานต์ได้รับแต่งตั้งจากกรมตำรวจให้เป็นที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญทางนิติเวชวิทยา และใน พ.ศ. ๒๔๙๖ ทางกรมตำรวจได้รับโอนนายแพทย์ ถวัลย์ อาศนะเสน ซึ่งขณะนั้นรับราชการเป็นอาจารย์โท แผนกกายวิภาคศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ไปอยู่โรงพยาบาลตำรวจเพื่อทำหน้าที่ทางนิติเวชศาสตร์ โดยได้รับพระราชทานยศเป็นนายร้อยตำรวจเอก และนายแพทย์ร.ต.อ. ถวัลย์ ได้ไปวางโครงการจัดตั้งแผนกนิติเวชวิทยาขึ้นในโรงพยาบาลตำรวจ
แผนกนิติเวชวิทยาโรงพยาบาลตำรวจ ได้เริ่มทำการผ่าศพ เพื่อชันสูตรพลิกศพครั้งแรกในวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๔๙๖ แผนกนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจนี้ อาจารย์สงกรานต์ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญประจำกรมตำรวจได้ไปช่วยเหลือให้คำแนะนำปรึกษา ตั้งแต่เริ่มแรกจนกระทั่งอีกหลายปีต่อมา
ในปี พ.ศ. ๒๔๙๙ อาจารย์สงกรานต์ได้มีหนังสือถึงคณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะ ให้พิจารณาการปฏิบัติงานทางนิติเวชศาสตร์เป็นสาขาเฉพาะในการประกอบโรคศิลปะแผนปัจจุบันสาขาเวชกรรม ซึ่งต่อมาคณะกรรมการควบคุมการประกอบโรคศิลปะได้มีมติเมื่อ พ.ศ. ๒๕๐๐ ให้มีแพทย์ผู้มีความชำนาญเฉพาะทางสาขาต่างๆขึ้น และ "นิติเวชวิทยา" ก็เป็นสาขาของแพทย์เฉพาะทางสาขาหนึ่ง และได้มีการตั้งอนุกรรมการพิจารณาการขอเป็นแพทย์เฉพาะทางในแต่ละสาขาขึ้น สำหรับอนุกรรมการฯในสาขานิติเวชวิทยาประกอบด้วย
๑.นพ.สงกรานต์นิยมเสน
๒.นพ.ภิรมย์สุวรรณเตมีย์
๓.นพ.ทิพย์นาถสุภา
ต่อมา เมื่อมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. ๒๕๑๑ และมีแพทยสภาขึ้น แพทยสภาได้มีหลักสูตรว่าด้วยการฝึกอบรม เพื่อเป็นผู้มีความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมสาขาต่างๆ "นิติเวชศาสตร์" ก็เป็นสาขาหนึ่งที่มีการฝึกอบรมดังกล่าว จนปัจจุบันมีผู้ได้รับหนังสืออนุมัติและวุฒิบัตรของแพทยสภาในสาขานี้หลายคนแล้ว
งานในสาขานิติเวชวิทยา ในแผนกวิชาพยาธิวิทยาของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ค่อยๆ วิวัฒนาการเรื่อยมาเป็นลำดับ โดยขยายงานเพิ่มขึ้นทุกปี มีจำนวนอาจารย์เพิ่มขึ้น จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๕๐๘ จึงได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งแผนกวิชานิติเวชวิทยาขึ้นในคณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล โดยมีศาสตราจารย์นายแพทย์สงกรานต์ นิยมเสน เป็นหัวหน้าแผนกวิชา และได้โอนอัตรากำลังและเจ้าหน้าที่ในสาขานิติเวชวิทยาเดิมทั้งหมดไปเป็นของภาควิชาที่ตั้งใหม่ นับเป็นแผนกวิชานิติเวชวิทยาแห่งแรกของประเทศไทย ต่อมาเมื่อมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์เปลี่ยนมาเป็นมหาวิทยาลัยมหิดล แผนกวิชานิติเวชวิทยาเปลี่ยนมาเป็น ภาควิชานิติเวชวิทยา และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ภาควิชานิติเวชศาสตร์ จนทุกวันนี้
ในปีเดียวกันกับปีที่มีการตั้งแผนกวิชานิติเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์และศิริราชพยาบาล และคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ก็ได้ขอโอน นายแพทย์ พ.ต.อ. ถวัลย์ อาศนะเสน จากโรงพยาบาลตำรวจกลับไปสังกัดในแผนกวิชาพยาธิวิทยา และมอบหมายให้เตรียมวางโครงการก่อตั้งแผนกวิชานิติเวชวิทยาขึ้น ซึ่งได้มีการก่อตั้งแผนกวิชานิติเวชวิทยาขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๑๐ นับว่าเป็นแห่งที่สอง และต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นแผนกวิชานิติเวชศาสตร์ หลังจากนั้นภาควิชานิติเวชศาสตร์ ก็ได้เริ่มก่อตั้งในมหาวิทยาลัยอื่นๆอีกในเวลาต่อมา
สำหรับงานนิติเวชศาสตร์ภายนอกมหาวิทยาลัย ในขณะที่กรมตำรวจมีชื่อว่า กรมกองตระเวน อยู่นั้นกระทรวงมหาดไทยได้จัดสร้างโรงพยาบาลขึ้นหลังหนึ่งที่ตำบลพลับพลาไชยใน พ.ศ. ๒๔๔๑ แรกเริ่มทำการรักษาผู้ป่วยที่เป็นกามโรคส่วนใหญ่ จึงเรียกกันว่า "โรงพยาบาลหญิงหาเงิน" ต่อมาโรงพยาบาลนี้ช่วยรักษาพยาบาลพลตระเวน (พลตำรวจ) พิสูจน์บาดแผล และชันสูตรพลิกศพเพื่อประกอบการสืบสวนสอบสวนคดีต่างๆ จึงมีผู้เรียกชื่อโรงพยาบาลนี้ว่า "โรงพยาบาลพลตระเวน" และบางคนก็เรียกว่า "โรงพยาบาลวัดโคก" (วัดโคกคือวัดพลับพลาไชย) ต่อมาในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ กรมสุขาภิบาลได้รับโอนโรงพยาบาลดังกล่าว และเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลกลาง" และใช้ชื่อนี้มาจนทุกวันนี้ ปัจจุบันสังกัดอยู่ในกรุงเทพมหานคร แม้จะโอนจากกรมกองตระเวนแล้ว และกรมกองตระเวนกับกรมตำรวจภูธรได้รวมกันเป็นกรมตำรวจในปีเดียวกันนั้น โรงพยาบาลกลางก็ยังคงทำหน้าที่รับคนไข้ที่เป็นคดีที่ตำรวจส่ง ได้แก่ คนไข้อุบัติเหตุ บาดแผลต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ จึงนับว่าโรงพยาบาลกลางเป็นที่ให้บริการทางนิติเวชศาสตร์ที่สำคัญก่อนโรงพยาบาลศิริราช สำหรับผู้ป่วยโรคจิตที่มีคดีนั้น จะถูกนำตัวเข้าไปตรวจรักษาที่ "โรงพยาบาลคนเสียจริต ปากคลองสาน" ซึ่งตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๒ โดยครั้งแรกได้นำคนเสียจริต ๓๐ คนมาไว้รวมกัน ต่อมาได้รับการปรับปรุงเป็นโรงพยาบาลที่ตรวจรักษาผู้ป่วยโรคจิต โรคประสาท และได้เปลี่ยนชื่อเป็น "โรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา" เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ ต่อมากิจการของโรงพยาบาลแห่งนี้ก้าวหน้าทันสมัยขึ้นเรื่อยๆ และได้มีการตรวจรักษาทางโรคระบบประสาท และประสาทศัลยศาสตร์ด้วย เนื่องจากคนไข้โรคจิตที่มีคดีมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เป็นหน้าที่ของแพทย์ที่จะต้องพิสูจน์ว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยจะเป็นโรคจิตและรู้สึกผิดชอบหรือไม่ ถ้าเป็นโรคจิตก็ต้องรักษาจนกว่าผู้ป่วยจะต่อสู้คดีได้ ดังนั้นจำเป็นที่จะต้องมีสถานที่ตรวจรักษาคนไข้ดังกล่าวให้พอเพียง จึงได้มีการก่อตั้ง "โรงพยาบาลนิติจิตเวช" ขึ้นโดยเฉพาะอีกแห่งหนึ่งที่พุทธมณฑล ตำบลทวีวัฒนา อำเภอตลิ่งชัน ธนบุรี ในปี พ.ศ. ๒๕๑๓ ในด้านที่เกี่ยวกับกฎหมาย ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติชันสูตรพลิกศพ พ.ศ. ๒๔๕๗ ในเดือนเมษายน ๒๔๕๗และได้บัญญัติเกี่ยวกับการชันสูตรพลิกศพไว้ดังต่อไปนี้
"มาตรา ๓ ถ้ามีผู้ใดตายลงโดยฆ่าตัวเองก็ดี หรือผู้อื่นฆ่าให้ตายก็ดี กิริยาตายอย่างนี้เรียกว่า ฆาตกรรม ตามพระราชบัญญัตินี้ เหตุที่ตายจะปรากฏชัดก็ตาม หรือจะเป็นแต่มีเหตุควรสงสัยว่าบุคคลจะตายโดยฆาตกรรมก็ตาม ให้เป็นหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่จะต้องกระทำการชันสูตรพลิกศพ ตามความที่กล่าวไว้ในพระราชบัญญัตินี้
แต่ให้พึงเข้าใจว่า พระราชบัญญัตินี้ไม่เกี่ยวถึงการที่เจ้าพนักงานประหารชีวิตนักโทษตามกฎหมาย
มาตรา ๗ การชันสูตรพลิกศพผู้ถูกฆาตกรรม กำหนดตามพระราชบัญญัตินี้เป็น ๒ ชั้น คือสามัญชั้น ๑ วิสามัญชั้น๑ผิดกันดังอธิบายต่อไปนี้คือ
ข้อ ๑ ฆาตกรรมอันเป็นวิสามัญนั้นคือ ผู้ตาย ตายด้วยเจ้าพนักงานฆ่าในเวลากระทำการตามหน้าที่ ยกตัวอย่างเช่น เจ้าพนักงานไปจับผู้ต้องหาว่าเป็นโจรเป็นผู้ร้าย และฆ่าผู้ต้องหาว่าเป็นโจรเป็นผู้ร้ายนั้นตายในเวลาจับดังนี้เป็นต้นเรียกว่าเป็นเหตุวิสามัญ
ข้อ ๒ ฆาตกรรมอันเป็นสามัญนั้น ผู้อื่นแม้เป็นข้าราชการหรือเป็นเจ้าพนักงานกระทำให้ตาย โดยมิได้เกี่ยวกับการกระทำตามหน้าที่ให้ถือว่าเป็นฆาตกรรมอย่างสามัญ
มาตรา ๘ พนักงานที่จะทำการชันสูตรพลิกศพ ซึ่งตายโดยฆาตกรรมอย่างสามัญนั้น โดยปกติให้ถือว่าเป็นหน้าที่ของกรมการอำเภอผู้ปกครองท้องที่อำเภอซึ่งพบศพนั้น จะเป็นประธาน ๑ กับกำนันคนใดคนหนึ่งในอำเภอนั้น และแพทย์ประจำตำบลหรือเจ้าบ้านคนใดคนหนึ่งในอำเภอนั้น ต้องนั่งพร้อมกัน ๓ คน จึงจะทำการชันสูตรพลิกศพถูกต้องตามพระราชบัญญัตินี้
แต่ถ้าเสนาบดีผู้บัญชาการปกครองท้องที่ หรือ สมุหเทศาภิบาลผู้สำเร็จราชการมณฑล หรือผู้ว่าราชการเมืองเห็นว่า เหตุที่เกิดฆาตกรรมเป็นการซึ่งควรจะจัดการโดยพิเศษ จะตั้งผู้ทำการชันสูตรพลิกศพเฉพาะเรื่องนั้นทั้ง ๓ คนก็ได้ถ้าหากว่าศพนั้นตายโดยฆาตกรรมอย่างสามัญ พนักงาน ๓ คน ซึ่งจะนั่งทำการชันสูตรพลิกศพ ให้เป็นข้าราชการหัวหน้ากรมหรือกอง พนักงานซึ่งทำให้ตายคน ๑ ข้าราชการซึ่งเจ้ากระทรวงผู้ปกครองท้องที่เลือกแลตั้งคน ๑ แลข้าราชการซึ่งเป็นฝ่ายตุลาการ ซึ่งเจ้ากระทรวงยุติธรรมเลือกแลตั้งคน ๑ ใน ๓ คนนี้ ผู้ใดมีบรรดาศักดิ์สูงกว่า คนผู้นั้นได้เป็นประธาน ๑"
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาใช้บังคับโดยให้ใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาตั้งแต่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ เป็นต้นไป พระราชบัญญัติการชันสูตรพลิกศพจึงถูกยกเลิกไปเพราะการชันสูตรพลิกศพได้มีบัญญัติอยู่แล้วในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๑๕๐ กำหนดให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ กับแพทย์ประจำตำบล หรือแพทย์อื่นเป็นผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ
ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๙๙ ได้มีการแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในเรื่องนี้ โดยให้พนักงานสอบสวนแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ กับอนามัยจังหวัด หรือแพทย์ประจำสุขศาลา หรือแพทย์ประจำโรงพยาบาลเป็นผู้ทำการชันสูตรพลิกศพ ถ้าไม่มีแพทย์ดังกล่าว ให้ใช้เจ้าหน้าที่ท้องที่หรือแพทย์ประจำตำบลแทนได้ ดังนั้นแพทย์ของโรงพยาบาลทั่วไปหรือแพทย์ของสุขศาลา จึงต้องทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศพตามกฎหมายตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนปัจจุบัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น