การปลูกสวนยางพารา
พื้นที่
พื้นที่
ที่จะใช้ปลูกยาง ควรใช้ดินที่เหมาะแก่การปลูกยางจริงๆ
คือ ต้องเป็นดินร่วน ดินชั้นล่าง ต้องไม่เป็นหินดินดาน หรือลูกรังมากเกินไป
หรือเป็นที่ทรายจัด หรือเป็นที่ลุ่มที่ขุดลงไปไม่เกิน 1.5เซนติเมตรก็มีน้ำ
หรือเป็นที่ที่น้ำท่วมในฤดูฝนเป็นเวลานานทุกปี ย่อมไม่เหมาะที่จะปลูกต้นยาง
การเตรียมพื้นที่
การเตรียมพื้นที่
จะต้องคำนึงถึงข้อสำคัญที่ควรระวัง สาม ประการ คือ
1) หญ้าคา เป็นศัตรูสำคัญของต้นยาง และพืชทุกชนิด
จะต้องกำจัดให้หมดก่อนที่จะโค่นไม้ป่า หรือไม้ใหญ่ลง อาจทำได้โดยขุดเอารากออก
หรือใช้ยาทำลาย เช่น สารไกลโฟเซต 48 เปอร์เซน ถ้าทิ้งไว้ทำลายภายหลังการโค่น
หญ้าคาจะยิ่งเจริญงอกงามรวดเร็วขึ้น เพราะเป็นที่โล่งแจ้ง ปราศจากร่มเงา
จะปราบยากลำบากยิ่งขึ้น ส่วนวัชพืชอย่างอื่นนั้น ถ้าเอาไว้คลุมดิน
หรือเอาไว้ป้องกันการพังทลายของดิน หรือป้องกันการชะล้างของน้ำฝนบ้างก็ได้
แต่จะต้องหวดให้ต่ำอยู่เสมอ อย่าให้สูงเกินกว่า ๕๐ เซนติเมตร
และไม่ให้ลุกลามเข้าไปใกล้แนวปลูกต้นยาง วัชพืชทุกชนิด
จะต้องอยู่ห่างจากต้นบางทุกด้าน ไม่น้อยกว่า ๑ เมตร
แต่ถ้าปลูกพืชคลุมดินแทนวัชพืชได้จะเป็นประโยชน์มาก มิใช่จะสะดวกแก่การดูแลรักษาเท่านั้น
แต่จะช่วยให้ดินได้รับความชุ่มชื้น และได้รับธาตุอาหารเพิ่มขึ้นอีกด้วย
2) ดินบน ย่อมมีประโยชน์แก่ต้นไม้มาก ถ้าใช้รถแทรกเตอร์ช่วยขุดโค่น และเตรียมดิน จะต้องระวังหน้าดิน อย่าให้ถูกกลบเสียหายไปเสียเปล่าๆ ถ้าเป็นพื้นที่ลาดชันไม่ควรไถแปร เพราะจะเป็นการทำลายหน้าดินเสียเปล่าๆ
3) แมลง และสัตว์ เช่น ปลวก เม่น ฯลฯ ที่จะกัดกินต้นยาง จำเป็นจะต้องหาทางป้องกันโดยไม่ทำให้สวนรกรุงรัง เวลาปลูกควรใสสารคาโบฟูรานหรือที่รู้จักกันในชื่อ ฟูราดาล 3 G
2) ดินบน ย่อมมีประโยชน์แก่ต้นไม้มาก ถ้าใช้รถแทรกเตอร์ช่วยขุดโค่น และเตรียมดิน จะต้องระวังหน้าดิน อย่าให้ถูกกลบเสียหายไปเสียเปล่าๆ ถ้าเป็นพื้นที่ลาดชันไม่ควรไถแปร เพราะจะเป็นการทำลายหน้าดินเสียเปล่าๆ
3) แมลง และสัตว์ เช่น ปลวก เม่น ฯลฯ ที่จะกัดกินต้นยาง จำเป็นจะต้องหาทางป้องกันโดยไม่ทำให้สวนรกรุงรัง เวลาปลูกควรใสสารคาโบฟูรานหรือที่รู้จักกันในชื่อ ฟูราดาล 3 G
ระยะการปลูก
ภายหลังที่ปราบหญ้า ลงหมดแล้ว
ขั้นต่อไปจะต้องเตรียมดินขุดหลุมไว้ให้พร้อมที่จะปลูกได้ทันที เมื่อถึงฤดูฝน
ในทางปฏิบัติที่ดีในเนื้อที่ 1 ไร่ ควรจะมีต้นยางที่ได้ขนาดกรีดแล้วเพียงไร่ละประมาณ 50-55 ต้น ในการปลูกจำเป็นต้องปลูกเผื่อต้นตาย หรือต้นแคระแกร็นไว้ด้วย ฉะนั้น ในการกะระยะปลูกควรคำนึงถึงจำนวนต้น และคำนึงถึงความเจริญของต้นยาง อย่าให้เบียดกันจนเป็นเหตุให้ต้นแคระแกร็น ถ้าปลูกด้วยต้นกล้าจะต้องปลูกให้ได้ไร่ละประมาณ 80 ต้น เพราะต้นกล้าแม้ว่าจะเป็นเมล็ดจากต้นพันธุ์ดีเพียงใดก็ตาม ย่อมจะมีต้นอ่อนแอ และอาจเป็นเมล็ดที่ถูกผสมกับต้นอื่นๆ จึงต้องปลูกเผื่อไว้เล็กน้อย และถ้าปลูกด้วยตอติดตา หรือต้นติดตา หรือจะติดตาในแปลงภายหลัง ต้นที่ใช้ปลูกเหล่านี้เป็นพันธุ์แท้ไม่กลาย จะปลูกเพียงไร่ละ ประมาณ 10 ต้น เท่านั้นก็พอ
ในทางปฏิบัติที่ดีในเนื้อที่ 1 ไร่ ควรจะมีต้นยางที่ได้ขนาดกรีดแล้วเพียงไร่ละประมาณ 50-55 ต้น ในการปลูกจำเป็นต้องปลูกเผื่อต้นตาย หรือต้นแคระแกร็นไว้ด้วย ฉะนั้น ในการกะระยะปลูกควรคำนึงถึงจำนวนต้น และคำนึงถึงความเจริญของต้นยาง อย่าให้เบียดกันจนเป็นเหตุให้ต้นแคระแกร็น ถ้าปลูกด้วยต้นกล้าจะต้องปลูกให้ได้ไร่ละประมาณ 80 ต้น เพราะต้นกล้าแม้ว่าจะเป็นเมล็ดจากต้นพันธุ์ดีเพียงใดก็ตาม ย่อมจะมีต้นอ่อนแอ และอาจเป็นเมล็ดที่ถูกผสมกับต้นอื่นๆ จึงต้องปลูกเผื่อไว้เล็กน้อย และถ้าปลูกด้วยตอติดตา หรือต้นติดตา หรือจะติดตาในแปลงภายหลัง ต้นที่ใช้ปลูกเหล่านี้เป็นพันธุ์แท้ไม่กลาย จะปลูกเพียงไร่ละ ประมาณ 10 ต้น เท่านั้นก็พอ
ถ้าเป็นพื้นที่ราบ
ควรปลูกแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้าโดยใช้ระยะให้ใกล้กับสีเหลี่ยมจัตุรัส เช่น 4x5 เมตร ถ้าต้องการปลูกพืช
เพื่อหารายได้ชั่วคราวระหว่างแถวยาง หรือเป็นที่ที่มีฝนชุกต้องการให้เปลือกต้นยางแห้งเร็ว
จะใช้ระยะตามข้อ 3x4 ก็ได้ เพราะจะทำให้เกิดภาระในการปราบวัชพืชเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนั้น การที่เปิดช่องไว้กว้าง จะทำให้รับลมมากเกินไป ถ้ามีลมแรง หรือพายุ
ต้นยางอาจหัก หรือโค่นลงได้
ถ้าเป็นที่บนเขา หรือที่ลาด ควรใช้ระยะระหว่างต้นให้ถี่ และระยะระหว่างแถว คือ ชานดินที่เป็นขั้นๆ ให้ห่าง เพื่อให้จำนวนขั้นบันไดน้อยลง โดยใช้ระยะ 2.5x9 เมตร 3x7เมตร
ถ้าเป็นสวนยางขนาดเล็ก เช่น สวนยางขนาดเนื้อที่ไม่เกิน 5-6 ไร่ ต้องการจะอาศัยปลูกพืชอื่นเก็บกินเป็นการถาวรทุกๆ ปี เช่น พืชล้มลุก หรือพืชอายุนานแต่เป็นต้นเล็กๆ เช่น กล้วย พริก สับปะรด ในกรณีนี้จะปลูกต้นยางโดยใช้แบบรั้วแถวเดียวก็ได้ แต่ละแถวให้ห่างกันเพียง 2 เมตร หรือจะใช้แถวคู่ก็ได้ แต่ต้องให้ระยะแถวคู่แต่ละคู่ห่างกัน 16-18 เมตร และแถวคู่ทุกๆ แถว ต้องปลูกต้นยางเป็นรูปฟันปลาห่างหัน 2.5x4 เมตรการปลูกแบบรั้วแถวคู่โดยใช้ระยะดังกล่าวนี้ อาจจะแก้ปัญหาต้นยางเอียงออกได้ดีขึ้น
ถ้าเป็นที่บนเขา หรือที่ลาด ควรใช้ระยะระหว่างต้นให้ถี่ และระยะระหว่างแถว คือ ชานดินที่เป็นขั้นๆ ให้ห่าง เพื่อให้จำนวนขั้นบันไดน้อยลง โดยใช้ระยะ 2.5x9 เมตร 3x7เมตร
ถ้าเป็นสวนยางขนาดเล็ก เช่น สวนยางขนาดเนื้อที่ไม่เกิน 5-6 ไร่ ต้องการจะอาศัยปลูกพืชอื่นเก็บกินเป็นการถาวรทุกๆ ปี เช่น พืชล้มลุก หรือพืชอายุนานแต่เป็นต้นเล็กๆ เช่น กล้วย พริก สับปะรด ในกรณีนี้จะปลูกต้นยางโดยใช้แบบรั้วแถวเดียวก็ได้ แต่ละแถวให้ห่างกันเพียง 2 เมตร หรือจะใช้แถวคู่ก็ได้ แต่ต้องให้ระยะแถวคู่แต่ละคู่ห่างกัน 16-18 เมตร และแถวคู่ทุกๆ แถว ต้องปลูกต้นยางเป็นรูปฟันปลาห่างหัน 2.5x4 เมตรการปลูกแบบรั้วแถวคู่โดยใช้ระยะดังกล่าวนี้ อาจจะแก้ปัญหาต้นยางเอียงออกได้ดีขึ้น
การใช้ระยะปลูกต้นยางแบบถี่ แต่แถวห่าง เป็นแบบที่ไม่ดีนัก เพราะเป็นแบบที่ต้นยางอยู่ชิดกันเกินไป และเป็นแบบที่ปล่อยที่ดินให้โล่งแจ้ง ถูกแดดแผดเผามาก วัชพืชเจริญรวดเร็ว ถ้าไม่ใช้ที่ดินที่ว่างอยู่นี้ให้เกิดประโยชน์เป็นการถาวรแล้ว ไม่ควรใช้ระยะปลูกแบบนี้ นอกจากปรากฏข้อเสียดังกล่าวแล้ว การปลูกแบบนี้ยังปลูกต้นยางได้น้อยต้น คือ ปลูกได้ไร่ละประมาณ 50-60 ต้น เท่านั้น และถ้าปลูกแถวคู่ ต้นยางอาจจะไม่สมบูรณ์เต็มที่ และลำต้นมักจะเอียงออก ฉะนั้น ก่อนที่จะปลูกแบบนี้ จะต้องคิดให้รอบคอบก่อนว่า จะใช้ที่ดินที่ว่างปลูกอะไรแน่ และพืช ที่จะปลูกนั้นจะได้ผล ช่วยให้มีรายได้เพิ่มมากขึ้นกว่าที่จะปลูกต้นยางอย่างเดียวหรือไม่
การวางแนว และปักหมุด (มบ หรือชะมบ) เมื่อตัดสินใจว่าจะปลูกแบบใด และจะให้ระยะเท่าใดแล้ว ขั้นต่อไป คือ การปักหมุด และการขุดหลุม ก่อนที่จะขุดหลุมจำเป็นจะต้องรู้เสียก่อนว่า จะขุดตรงไหน ต้นยางจึงจะขึ้นเป็นแถวเป็นแนวได้ระเบียบ ถ้าจะปลูกแบบสี่เหลี่ยมผืนผ้า หรือปลูกแบบถนนบนที่ราบ หรือบนเนิน หรือบนควนเตี้ยๆ ซึ่งไม่สูงชั้นจนถึงขนาดต้องทำชานดินเป็นขั้นบันไดอ้อมไปตามไหล่ควน หรือเนินแล้ว ควรจะปลูกให้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าให้ตั้งได้ฉากซึ่งกันและกัน ฉะนั้น ก่อนที่จะขุดหลุมจะต้องปักหมุด หรือปักมบให้เห็นแน่นอนเสียก่อน เครื่องใช้ และอุปกรณ์ที่จะใช้ในการปักหมุดมีดังนี้
1 ไม้ฉากขนาดใหญ่ ทำเองได้โดยใช้ไม้ไผ่
หรือไม้อะไรก็ได้ยาว 3 เมตร 4 เมตร และ 5 เมตร (หรือจะใช้ให้สั้นหน่อยโดยใช้ขนาด 3
ฟุต 4 ฟุต และ 5 ฟุตก็ได้) มาประกอบเป็นรูปสามเหลี่ยม หรือเป็นไม้ฉากขึ้น
มุมที่ตรงกันข้ามกับด้านที่ยาว 5 เมตร (หรือ 5 ฟุต) จะเป็นมุมฉาก
2 เชือก ลวด หรือหวายขนาดยาว ถ้าได้ขนาดยาวมากๆ ยิ่งดี แต่ไม่ควรสั้นกว่า 20 เมตร เชือก ลวด หรือหวายดังกล่าวนี้ ควรขึงให้อยู่ตัวก่อนจะดีมาก ที่เชือก ลวด หรือหวายให้ทำเครื่องหมายระยะปลูกไว้เป็นระยะๆ ถ้าใช้ระยะ 3 x 8 เมตร ทุกๆ ระยะ 3 เมตร ให้เขียนสีแดง หรือผูกผ้าแดงไว้ ส่วนระยะอีกด้านหนึ่ง ซึ่งต้องใช้ระยะ 8 เมตร จะใช้เชือก ลวด หรือหวายเส้นเดียวกัน หรือจะใช้อีกเส้นหนึ่งต่างหากก็ได้ โดยเขียนสีอื่น เช่น สีเขียว หรือผูกผ้าสีเขียวเป็นเครื่องหมายทุกระยะ 8 เมตร
3 หมุด อาจใช้กิ่งไม้ที่เพิ่งโค่นลงมา เสี้ยมปลายให้แหลม หรือจะใช้ไม้ไผ่ก็ได้ ปักไว้ทุกๆ จุด เพื่อให้รู้ตำแหน่งที่จะขุดเป็นหลุมปลูกต่อไป
2 เชือก ลวด หรือหวายขนาดยาว ถ้าได้ขนาดยาวมากๆ ยิ่งดี แต่ไม่ควรสั้นกว่า 20 เมตร เชือก ลวด หรือหวายดังกล่าวนี้ ควรขึงให้อยู่ตัวก่อนจะดีมาก ที่เชือก ลวด หรือหวายให้ทำเครื่องหมายระยะปลูกไว้เป็นระยะๆ ถ้าใช้ระยะ 3 x 8 เมตร ทุกๆ ระยะ 3 เมตร ให้เขียนสีแดง หรือผูกผ้าแดงไว้ ส่วนระยะอีกด้านหนึ่ง ซึ่งต้องใช้ระยะ 8 เมตร จะใช้เชือก ลวด หรือหวายเส้นเดียวกัน หรือจะใช้อีกเส้นหนึ่งต่างหากก็ได้ โดยเขียนสีอื่น เช่น สีเขียว หรือผูกผ้าสีเขียวเป็นเครื่องหมายทุกระยะ 8 เมตร
3 หมุด อาจใช้กิ่งไม้ที่เพิ่งโค่นลงมา เสี้ยมปลายให้แหลม หรือจะใช้ไม้ไผ่ก็ได้ ปักไว้ทุกๆ จุด เพื่อให้รู้ตำแหน่งที่จะขุดเป็นหลุมปลูกต่อไป
การทำชานดินขั้นบันไดให้ได้ระดับ ที่ดินที่เป็นเนิน หรือควนสูงยังใช้ทำประโยชน์ได้ โดยปรับพื้นที่ให้เป็นชานดินเหมือนกับขั้นบันไดให้ได้ระดับขนานไปกับพื้นดิน บางทีอาจต้องทำชานดินเป็นชั้นๆ อ้อมไปตามไหล่เนิน หรือควนทั้งลูก เครื่องมือในการหาระดับอย่างง่ายๆ เช่น ใช้ระดับน้ำในสายยางชนิดใส หรือใช้ไม้แนวระดับซึ่งมีขาสูงเท่ากัน 2 ขา มีระดับน้ำติดไว้ตรงกลางของไม้ยาวที่ยึดขาทั้ง 2 ไว้ หรือจะใช้ "ดิ่งหน้าจั่ว" ซึ่งมีเชือกผูกลูกดิ่งห้อยลงจากมุมบนของหน้าจั่วก็ได้
ความสำคัญของ "ดิ่งหน้าจั่ว" คือ ทุกๆ ครั้งที่เชือกลูกดิ่งจากมุมบนของจั่วอยู่ที่จุดศูนย์กลางของฐานจั่ว ขาของหน้าจั่วที่ ยื่นออกไปเท่ากันทั้ง 2 ข้าง จะอยู่ในระดับเดียวกันเมื่อตั้งต้นจากจุดหนึ่ง สมมุติว่า ขาของจั่วข้างหนึ่งวางอยู่ตรงหมุดที่ 1 และขาอีกข้างหนึ่งวางอยู่ที่หมุดที่ 2 เมื่อขยับขาจั่วทั้ง 2 ข้างให้เส้นดิ่งอยู่ตรงจุดศูนย์กลางของฐานจั่ว ระดับของขาจั่วอยู่ตรง หมุดที่ 3 ก็จะได้ระดับเดียวกันกับหมุดที่ 3 และจะอยู่ในระดับเดียวกันกับหมุดที่ 1 ด้วย ทำเรื่อยๆ ไปตามวิธีนี้ ระดับที่จะได้ ตรงหมุดที่ 4-5-6 และต่อๆ ไปจะเท่ากันเสมอ และถ้าทำไปรอบๆ เนินจะวนกลับมาถึงหมุดที่ 1 หน้าจั่วที่จะใช้ ควรให้สูงประมาณ 2 เมตร สำหรับระยะระหว่างขาจั่วทั้ง 2 ข้าง จะถ่างให้ตรงพอดีกับระยะปลูกที่ต้องการได้ยิ่งดี เช่น หน้าจั่วก้าวไป 2 ครั้งให้ได้ระยะ 3 เมตร พอดีที่จะปักหมุดสำหรับปลูกต้นยาง 1 ต้น
การหาระดับทำขั้นบันได ควรจะทำจากยอดเนินลงมา ระยะระหว่างขั้นควรให้ระยะตาม ข้อ 3(2) ข้างต้น ระยะขั้นจะถี่ห่างเพียงใดนั้น ขึ้นอยู่กับความชันของเนิน หรือควนด้วย ถ้าชันมากจะใช้ระยะถี่ขึ้นเล็กน้อยได้ (ระยะที่กล่าวนี้ หมายถึง ระยะถี่ห่างกันทางอากาศของต้นยาง ไม่ใช่ระยะที่วัดบนดินที่ลาดเอียง) การทำชานดินเป็นขั้นบัน ได ทำให้ใช้ที่ดินได้ประโยชน์ขึ้นแทนที่จะทิ้งที่ดินที่เป็นควนเขาให้เสียไป การปลูกต้นยางที่ดินควนเขาตามวิธีนี้เป็นการช่วยเก็บน้ำ และรักษาดินมิให้พังทลายด้วย ชานดินดังกล่าวนี้จะเกิดขึ้นได้ โดยตัดดินลึกเข้าไปในเนินเหมือนกับจะทำถนนเลียบเขา แนวชานดินกว้างประมาณ 1.5-2 เมตร เอียงเข้าไปทางเนิน น้ำฝนที่ตกลงมาจะไหลเข้าไปในเนินดิน จะมีคัน ดินด้านนอกกั้นมิให้น้ำไหลตกลงมาจากชาน
การขุดหลุม และเตรียมการสำหรับปลูก เมื่อปักหมุดเรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไป คือ การขุดหลุมตรงที่ได้ปักหมุดไว้แล้วทุกหมุด
ดินที่ขุดขึ้น ควรขุดแยกดินบนไว้ต่างหากจากดินชั้นล่าง ตากแดดไว้ประมาณ 10-15 วัน เมื่อดินแห้งแล้ว ให้ย่อยดินชั้นบนให้ร่วน แล้วกวาดลงหลุมไปตามเดิม ย่ำดินให้แน่นพอสมควร กะให้สูงจากก้นหลุมประมาณ 25-30 เซนติเมตร ถ้าไม่พอก็ให้กวาดหน้าดินที่อยู่รอบๆ หลุมด้วยก็ได้ แล้วจึงกวาดดินล่างซึ่งผสมกับปุ๋ยร็อคฟอสเฟต (ที่เรียกกันว่าหินฟอสเฟต)หลุมละประมาณ 2-3 กำมือ เติมลงไปจนเต็มหลุม ทั้งนี้เฉพาะการปลูกต้นตอติดตาเขียว ซึ่งเป็นต้นเล็กมากเท่านั้น ถ้าต้นที่ใช้ปลูกเป็นต้นขนาดใหญ่ รากลึกลงไปเกือบถึงก้นหลุม จะต้องใช้ดินบนผสมปุ๋ยเอาไว้ก้นหลุม โดยใช้ปุ๋ย สูตร 15-15-15 ตรายารา รากต้นยางจึงจะได้อาหารตามต้องการ เสร็จแล้วให้ปักหมุดไว้ตรงกลางหลุมตามเดิมจนกว่าจะถึงเวลาปลูก ถ้าหากเห็นว่าจะต้องรอเวลาอีกนาน กว่าจะปลูก จะเก็บปุ๋ยเอาไว้ผสมกับดินล่างเมื่อจะปลูกต้นยางก็ได้
การปลูกต้นยาง ต้นยางที่จะใช้ปลูกจะต้องเป็นต้นยางพันธุ์ดี ซึ่งมีสภาพต่างๆ กัน คือ
1 กล้ายางพันธุ์ดี
(หรือถ้าจะติดตาในแปลงก็จะต้องปลูกกล้าธรรมดาไว้ก่อน) ต้นกล้ายางพันธุ์ดีที่จะใช้ปลูกมี
3 ขนาด ด้วยกัน คือ
กล้าขนาดเล็ก
โคนต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.5-2 เซนติเมตร
กล้าขนาดกลาง โคนต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5-3 เซนติเมตร
กล้าขนาดใหญ่ โคนต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 3.5 เซนติเมตรขึ้นไป กล้าขนาดใหญ่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการถอนต้นแพงกว่ากล้าขนาดที่เล็กกว่า
ต้นกล้าที่เหมาะแก่การปลูก คือ ต้นกล้าขนาดกลางซึ่งไม่เล็ก และไม่ใหญ่เกินไป สะดวกทั้งในการขุดถอน และการขนย้ายเข้าไปปลูกในสวน กล้าที่จะเอาไปปลูกนี้จะต้องตัดเอาส่วนยอดซึ่งมีเปลือกสีเขียวออก ให้เหลือส่วนที่เป็นสีเขียวปนน้ำตาลเพียง 10-15 เซนติเมตร และตรงที่ตัดยอดออก ควรจุ่มด้วยขึ้นผึ้งเหลวเสียก่อน เพื่อป้องกันมิให้น้ำเลี้ยงในลำต้นระเหยออกเร็วเกินไปต้นกล้าที่ถอนขึ้นจากดินแล้ว (ถ้าถอนไม่ขึ้นควรใช้เสียมขุดช่วย) ถ้าเป็นขนาดเล็กจะมีรากแก้วยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร ถ้าขนาดกลางรากแก้วยาวประมาณ40 เซนติเมตร กล้าขนาดกลาง และกล้าขนาดใหญ่อาจมีรากแขนงยาว ควรตัดออกเสียบ้างให้เหลือประมาณ 12 เซนติเมตร
กล้าขนาดกลาง โคนต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 2.5-3 เซนติเมตร
กล้าขนาดใหญ่ โคนต้นมีเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ 3.5 เซนติเมตรขึ้นไป กล้าขนาดใหญ่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการถอนต้นแพงกว่ากล้าขนาดที่เล็กกว่า
ต้นกล้าที่เหมาะแก่การปลูก คือ ต้นกล้าขนาดกลางซึ่งไม่เล็ก และไม่ใหญ่เกินไป สะดวกทั้งในการขุดถอน และการขนย้ายเข้าไปปลูกในสวน กล้าที่จะเอาไปปลูกนี้จะต้องตัดเอาส่วนยอดซึ่งมีเปลือกสีเขียวออก ให้เหลือส่วนที่เป็นสีเขียวปนน้ำตาลเพียง 10-15 เซนติเมตร และตรงที่ตัดยอดออก ควรจุ่มด้วยขึ้นผึ้งเหลวเสียก่อน เพื่อป้องกันมิให้น้ำเลี้ยงในลำต้นระเหยออกเร็วเกินไปต้นกล้าที่ถอนขึ้นจากดินแล้ว (ถ้าถอนไม่ขึ้นควรใช้เสียมขุดช่วย) ถ้าเป็นขนาดเล็กจะมีรากแก้วยาวประมาณ 20-30 เซนติเมตร ถ้าขนาดกลางรากแก้วยาวประมาณ40 เซนติเมตร กล้าขนาดกลาง และกล้าขนาดใหญ่อาจมีรากแขนงยาว ควรตัดออกเสียบ้างให้เหลือประมาณ 12 เซนติเมตร
(2) ต้นตอติดตา คือ ต้นตอที่ติดตาไว้แล้ว
แต่ตายังไม่แตกยอด ถ้ามีแปลงขนายพันธุ์ยาง และมีต้นกล้าซึ่งจะใช้เป็น "ต้นตอ
" สำหรับติดตาได้ขนาดสำหรับติดตาอยู่พร้อมแล้ว
เพียงแต่ติดตาในแปลงต้นกล้าแล้วย้ายไปปลูกในสวนจะทุ่นเวลา
และค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาสวนประมาณ 1 ปี
การถอนต้นตอที่ติดตาแล้วให้ปฏิบัติเช่นเดียวกับถอนต้นกล้า
แต่จะต้องระวังตาที่เพิ่งติดไว้มิให้ชอกช้ำ
โดยปกติเมื่อแน่ใจว่าตาติดแน่แล้วแต่ยังไม่ผลิออกมาก็เป็นอันย้ายได้ ก่อนจะย้อยต้นมาให้ตัดยอดให้เหลือเพียง
10-15 เซนติเมตร เหนือรอยติดตา หรือให้เหลือเพียง 5-6 เซนติเมตร
ถ้าเป็นต้นตอติดตาเขียว
ข้อควรระมัดระวังสำหรับการปลูกต้นตอติดตาก็คือ เมื่อย้ายเอาไปปลูกในสวนแล้ว ต้นตอติดตาบางต้น ตายางพันธุ์ดี ที่ติดไว้อาจจะแห้งตายไป และมีตาของลำต้นเดิมงอกออกมาแทน โดยที่เจ้าของสวนยางอาจเข้าใจผิดคิดว่างอกจากตายางพันธุ์ดี จึงปล่อยให้เจริญเติบโตต่อไปกลายเป็นต้นยางพันธุ์เลวแทรกอยู่
(3) ต้นติดตา คือ ต้นติดตาที่ตางอกเป็นต้นสูงประมาณ
1 เมตรแล้วการปลูกด้วยต้นติดตาจะเสียค่าใช้จ่ายสูงกว่าต้นที่ใช้ ปลูกใสภาพอย่างอื่นที่กล่าวมาแล้ว
เพราะต้นติดตาดังกล่าวนี้ ส่วนมากมีอายุประมาณ ๒ ปี
นับตั้งแต่ปีที่เริ่มปลูกต้นตอเป็นต้นมา หรืออายุประมาณ 1 ปี
ถ้าเป็นต้นติดตาเขียว เพราะฉะนั้น ในการขุด การถอน และการย้าย ตลอดจนการปลูก
จะต้องเสียเวลา และค่าใช้ จ่ายแพงกว่าต้นเล็กๆ บ้าง นอกจากนั้น
หลุมที่ขุดเตรียมไว้จะต้องใหญ่ และต้องลึกกว่าปกติอีกด้วย ในปัจจุบันนี้
สามารถเลี้ยงต้นติดตาเขียวในถุงพลาสติกได้นานประมาณ 1 ปี จึงเห็นว่า
การใช้ต้นติดตาเขียวอายุ 10-12 เดือนปลูก จะทุ่นเวลาได้ถึง 1 ปี คือต้นยางที่ปลูกไว้จะกรีดได้ภายใน
4 ปี เท่านั้น แทนที่จะเป็นเวลา 5-6 ปี
วิธีติดตาแบบใหม่ โดยติดตาตั้งแต่ต้นตอยังเขียวอยู่มีอายุเพียง 3-4 เดือนเท่านั้น ร่นเวลาได้มาก ปลูกก็ง่ายขึ้น ตายางที่ จะใช้ติดก็หาง่ายขยายพันธุ์ได้เร็ว การติดตาตามวิธีใหม่นี้เรียกว่า "การติดตาเขียว" ต้นตอตามวิธีนี้เรียกว่า ต้นตอตาเขียว แต่ทั่วๆ ไปมักเรียกว่า ต้นติดตาเขียว
วิธีปลูก ก่อนที่จะย้ายต้นยางที่จะใช้ปลูก ไปยังสวน จะต้องปรากฏว่า
1) มีฝนตกชุก และดินชุ่มชื้นมากพอสมควร
เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก ถ้าปลูกในระยะที่ฝนยังไม่ชุกมากจริงๆ
และดินยังไม่ชุ่มชื้นพอ จะทำให้รากไม่เจริญ และชะงักงันไปชั่วคราว
กว่าจะตั้งตัวใหม่ได้อาจต้องกินเวลาหลายวัน หรือถ้าแล้งมาก ต้นอาจตายก็ได้
2) มีแรงงานที่จะช่วยกันปลูกไว้พร้อมเพรียง ถ้าปลูกเสร็จในวันเดียวกันกับที่ได้รับต้นยางมาจะดีมาก หากปลูกไม่ทันในวันนั้น จำเป็นจะต้องเลื่อนไปในวันรุ่งขึ้น ต้องรดน้ำที่ลำต้น และราก ให้ชุ่มชื้น ถ้าเอาไปเก็บไว้ในที่ที่ให้ปลายรากแช่น้ำเล็กน้อยได้ยิ่งดี
2) มีแรงงานที่จะช่วยกันปลูกไว้พร้อมเพรียง ถ้าปลูกเสร็จในวันเดียวกันกับที่ได้รับต้นยางมาจะดีมาก หากปลูกไม่ทันในวันนั้น จำเป็นจะต้องเลื่อนไปในวันรุ่งขึ้น ต้องรดน้ำที่ลำต้น และราก ให้ชุ่มชื้น ถ้าเอาไปเก็บไว้ในที่ที่ให้ปลายรากแช่น้ำเล็กน้อยได้ยิ่งดี
การติดตาต้นกล้าในสวน เจ้าของสวนยางบางคนเห็นว่า การติดตาในสวน หรือในไร่สะดวกว่า เพราะไม่ต้องถอนย้ายต้นไปปลูกใหม่ ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยก็อ้างว่า การติดตาในสวนมักติดไม่สำเร็จพร้อมกันทั้งหมด ติดบ้าง ไม่ติดบ้าง ต้องเสียเวลา และเสียค่าใช้จ่ายในการดูแลสวนเพิ่มขึ้นอีกด้วย แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความขยันขันแข็งของเจ้าของสวนยางแต่ละคน การติดตาในสวนทุ่นค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการซื้อต้นติดตามาปลูก
พันธุ์ยางที่ควรใช้ปลูก ควรใช้พันธุ์ยางที่ปรากฎผลดีมาแล้ว คำว่า "ผลดี" ในที่นี้ไม่ใช่หมายถึง ผลดีแต่เฉพาะน้ำยางอย่างเดียว ต้นยางที่ให้ผลดี หรือที่เรียกว่าพันธุ์ดีนั้น อย่างน้อยจะต้องประกอบด้วย คุณสมบัติต่อไปนี้ด้วย
1) ให้น้ำยางสูงกว่าต้นยางธรรมดา
2) เปลือกหนา
3) เปลือกที่ถูกกรีดแล้วงอกใหม่เร็ว
4) ความเจริญของลำต้นสม่ำเสมอดี ไม่ใช่พอกรีดแล้วต้นหยุดเจริญ หรือเจริญช้ามาก หรือล้ำต้นเปลี่ยนรูปไป
5) เปอร์เซ็นต์เป็นโรคเปลือกแห้งมีน้อย หรือไม่มีเลย ยางพันธุ์ดีหลายพันธุ์ที่ให้น้ำยางมาก แต่กรีดน้ำยางให้ออกมากไม่ได้ มักจะกลายเป็นโรคเปลือกแห้ง และกรีดน้ำยางไม่ออกอีกต่อไป
6) ต้นแข็งแรง พุ่มใบไม่ใหญ่เกินไป ทนต่อความแรงของลม หรือพายุได้ดี
2) เปลือกหนา
3) เปลือกที่ถูกกรีดแล้วงอกใหม่เร็ว
4) ความเจริญของลำต้นสม่ำเสมอดี ไม่ใช่พอกรีดแล้วต้นหยุดเจริญ หรือเจริญช้ามาก หรือล้ำต้นเปลี่ยนรูปไป
5) เปอร์เซ็นต์เป็นโรคเปลือกแห้งมีน้อย หรือไม่มีเลย ยางพันธุ์ดีหลายพันธุ์ที่ให้น้ำยางมาก แต่กรีดน้ำยางให้ออกมากไม่ได้ มักจะกลายเป็นโรคเปลือกแห้ง และกรีดน้ำยางไม่ออกอีกต่อไป
6) ต้นแข็งแรง พุ่มใบไม่ใหญ่เกินไป ทนต่อความแรงของลม หรือพายุได้ดี
ในระยะนี้ มีพันธุ์ยางของต่างประเทศหลายพันธุ์ ที่อยู่ในระหว่างการทดลอง หลายพันธุ์กำลังให้ผลเป็นที่น่าพอใจ และก็มีหลายพันธุ์เหมือนกันไม่ให้ผลดี ได้คัดทิ้งไปแล้วเป็นจำนวนมาก และเชื่อว่า ยังจะต้องคัดทิ้งต่อๆ ไปอีก ยังไม่แน่นอนว่า พันธุ์ใหม่ๆ ที่กำลังทดลองอยู่ มีพันธุ์อะไรบ้างที่เด่นในเรื่องนี้ ควรหารือกรมวิชาการเกษตร
พันธุ์ยางที่มีลักษณะ และคุณสมบัติดี ที่ใช้ปลูก ในปัจจุบันนี้ มีอยู่หลายพันธุ์ เช่น
1) ถ้าใช้ในการติดตา
ควรใช้พันธุ์พีอาร์ 107 (PR 107) และอาร์อาร์ไอเอ็ม
600 (RRIM 600) สองพันธุ์นี้
ควรปลูกในที่ดินที่อุดมสมบูรณ์ดีจริงๆ และในที่ที่ปลอดโรคใบร่วงชนิดไฟทอพทอรา
กับพันธุ์ พีบี 5/51 (PB 5/51) จีที 1 (GT 1) และพีอาร์ 255 พีอาร์ 261 (PR 255, PR 261)
2) ถ้าใช้เมล็ดหรือต้นกล้าพันธุ์ดี ในปัจจุบันนี้ ไม่นิยมใช้เมล็ดปลูกกันแล้ว เพราะหากล้าพันธุ์ดีได้ยาก และมักจะไม่ใช่พันธุ์แท้ สวนยางขนาดใหญ่ๆ ในมาเลเซียมีจำหน่ายอยู่บ้าง
2) ถ้าใช้เมล็ดหรือต้นกล้าพันธุ์ดี ในปัจจุบันนี้ ไม่นิยมใช้เมล็ดปลูกกันแล้ว เพราะหากล้าพันธุ์ดีได้ยาก และมักจะไม่ใช่พันธุ์แท้ สวนยางขนาดใหญ่ๆ ในมาเลเซียมีจำหน่ายอยู่บ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น