โรคของสับปะรด
จะว่าไปแล้วสับปะรดเป็นพืชเกิดโรคได้ยาก เป็นพืชที่มีต้นตะกุลเดียวกับกระบองเพชร จึงทนแล้งที่สุด สามารถวางตากแดดได้นานเป็นเดือน โดยไม่เสียหาย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องการน้ำ จริงๆแล้วสับปะรดต้องการน้ำมากกว่าพืชหลายชนิดด้วยซ้ำไป
เนื่องจากต้องการน้ำไปเก็บไว้ในหัวเพราะเป็นที่ช่ำน้ำ ส่วนประกอบหลักของมันคือน้ำ แต่ถ้าน้ำมากไปก็ไม่เจริญเติบโตได้
นอกจากน้ำแสงแดดก็เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับสับปะรด ยิ่งช่วงมีหัวต้องการมากแต่ถ้าแรงเกินไปก็อาจเกิดอาการหัวไหม้ได้ จึงต้องคุมหัวช่วยเสมอ
โรคสับปะรด จะว่าไปแล้วมีสาม สี่แบบ
1.โรคเกิดจากเชื้อโรค เช่น
เน่าแห้งเกิดจากเชื้อไวรัส
เน่าช่ำน้ำเกิดจากเชื้อแบคทีเลีย เป็นต้น
2.โรคเกิดจากธรรมชาติทำลาย เช่น หัวไหม้ เกิดจากแสงแดดที่ร้อนเกิน
3.โรคที่เกิดจากการขาดธาตุอาหาร
4.โรคที่เกิดจากศัตรูพืชทำหลาย
เพราะฉะนั้นก่อนที่จะตัดสินใจรักษาต้องดูให้แน่ก่อนว่าอาการที่สับปะรดเป็นเกิดจากอะไร
แต่ส่วนใหญ่ที่พบว่าสับปะรดเป็นมากที่สุดคือเน่าแห้ง
เกิดจากเชื้อไวรัสเข้าทำลาย
ทำให้รากหยุดการเจริญเติบโต
เมื่อรากเริ่มเน่าจะไปแสดงอาการที่ใบ
คือจะเปลี่ยนสีเป็นสีปูนแห้งจากปรายใบเข้าหาโคนใบ
เมื่อมีหัวก็จะแกรนไม่เจริญเติบโต
บางที่เรียกว่าโรคเออ
โรคนี้เป็นแล้วรักษาไม่หายต้องใช้สารกำจัดเชื้อรา
ผสมสารฆ่าแมลงฉีดพ่นเพื่อป้องกันการลุกลามของโรค
ถือว่าเป็นโรคที่สำคัญอันดับที่หนึ่งก็ว่าได้
สารเคมีที่แนะนำคือ ฟอสฟอรัส
แอซิด 40% อัตราการใช้ 2000 ซีซีหรือ 2 ลิตรผสมน้ำ 1000
ลิตร(ราคาโดยเฉลี่ยอยู่ที่ ลิตรละ 290-350 บาท)
สารฆ่าแมลงที่แนะนำ ควรเป็นสารที่กำจัดมดได้ดี
เพราะเป็นตัวพาหะของโรค เช่น ไซเพอ
เมทรีน35% อัตราการใช้500 ซีซี
หรือครึ่งลิตร ต่อน้ำ 1000 ลิตร อีกตัวคือ คลอไพรีฟอส 40 อัตราการใช้
หนึ่งลิตร ต่อน้ำ 1000 ลิตร
เพื่อความประหยัดค่าแรงฉีดพ่นก็สามารถผสมสารทั้งสองฉีดพ่นพร้อมกันก็ได้
ที่สำคัญขณะเกิดโรคไม่ควรใส่ปุ๋ยกลุ่มไนโตรเจน เพราะจะไปทำให้โรคระบาดได้ง่ายขึ้น
อีกโรคหนึ่ง ที่พบมากก็คือ ผลแกรนมักจะเกิดช่วงใกล้เก็บเกี่ยว ทำให้ออกจำหน่ายไม่ได้ โรคเกิดจาก
สภาพอากาศเปลี่ยนจากร้อนเป็นเย็นจนสับปะรดปรับตัวไม่ทัน เช่นอากาศแล้งแล้วเกิดฝนตกอย่างมาก
ทำให้เชื้อราเข้าทำลายซึ่งจะมีอยู่สองชนิด
ทำให้สับปะรด มีอาการเป็นจุดสีน้ำตาลจนถึงดำที่เนื้อสับปะรด
โรคนี้เป็นแล้วรักษาไม่ได้ และไม่ต้องใช้สารกำจัดเชื้อราฉีดพ้นแต่ประการได เพียง แต่อย่าให้สับปะรดขาดน้ำนานๆๆ บำรุงให้สับปะรดสมบูรณ์ เท่านั้น
โดยการฉีดพ่นอาหารเสริมและปุ๋ยเคมีที่เป็นสูตรเสมอเช่น 21-21-21 , 20-20-20 , (ต้องเป็นปุ๋ยชนิดเกร็ดเท่านั้นหรือชนิดน้ำเพื่อป้องการสารตกค้างในสับปะรด)ผสม
ธาตุแคลเซียม-โบรอน และจูลธาตุ ฉีดพ่นทุก 20 วันเท่านั้นก็พอ
อีกอาการหนึ่งที่ไม่ใช้โรคแต่ก็เหมือนเป็นโรค คือ
หัวไม่เจริญเติมโต หรือโตช้า
ต้นสับปะรดใหญ่แต่หัวเล็กถึงแม้มีจำนวนตามากก็ไม้เจริญเติบโตใหญ่เท่าที่ควร
อาการนี้เกิดจากการพ่นสารที่ต้นเพื่อบังคับออกดอก
แล้วมีสับปะรดจำนวนหนึ่งกำลังจะออกหัวพอดีเมื่อโดนสารบังคับออกหัว
ทำให้สับปะรดมีอาการแก่ทันที
การป้องกันคือต้องสำรวจแปลงก่อนบังคับออกดอก ถ้ามีสับปะรดออกปีหรือออกเองจำนวนหนึ่ง ไม่ควรบังคับออกดอกโดยวิธีพ่นสารทับทั้งแปลง
ควรเปลี่ยนเป็นตักหยอดที่หัวแทนเพื่อป้องกันต้นที่กำลังออกปีเสียหายจากสาร
อีทีฟอน
อาการโรคที่พบมากก็มีเพียง
สามอาการเท่านั้นส่วนอื่นๆนั้นไม่คอยพบ
ส่วนเน่าทั้งต้นนั้นมักพบช่วงปลูกใหม่
เกิดจากการเก็บรักษาต้นไม่ดีเสียเป็นส่วนใหญ่ ทำให้เชื้อแบคทีเลียเข้าทำลายได้ เมื่อฝนตกมากก็ทำให้เน่าทั้งต้นเป็นปกติ จึงควรลีกเลี่ยงไม่ปลูกในฤดูฝน ช่วงที่เหมาะสมในการปลูกคือ ธันวาคมถึงเมษายน และไม่ควรไถแปลงปลูกในฤดูฝน
นอกจากสับปะรดไม่งามแล้วทำให้ดินอมโรคแม้เป็นดินใหม่ก็ตาม
ควรไถแปลงช่วงแล้งเพราะมีแสงแดดมากซึ้งจะช่วยทำลายเชื้อโรคด้วย การไถแปลงในฤดูแล้งดินจะโปรง ระบายน้ำได้ดีจึงทำให้สับปะรดสมบูรณ์และต้านทานโรคด้วย
เขียนจากประสพการณ์ล้วนๆๆ
ผมเคยทำงานวิจัยทำสารชีวภาพ รักษาโรคไวรัส ในสับปะรด (โรคใบม่วง) พริก มะละกอ และอื่นๆ ให้บริษัทๆต่างประเทศ ได้ผลดี
ตอบลบขอโอกาส นำเผยแพร่ผลงานนะครับ
ลองแวะเข้าชมที่ –>> http://www.biocennk.com/
ความรู้ทั้งนั้นครับ ขออีกครับ เรื่องสับปะรด
ตอบลบดีมากๆ เพิ่งปลูกได้2ปี ปันหาเยอะโดยเฉพาะเชื้อราอีกหลายอย่าง ขอบคุณให้ความรู้(พัทลุง)
ตอบลบ