เนื่องจากเจ้าของสวนยางในประเทศไทยเกือบทุกสวนยังคงทำยางแบบเก่า คือ ยางแผ่นรมควันกันอยู่ และคงจะต้องทำเช่นนี้ต่อไป จนกว่ารัฐหรือเอกชนจะสร้างโรงงานผลิตยางแท่งทั่วทุกท้องที่ที่มีการปลูกยาง ความสำคัญของการทำยางทุกชนิด ขึ้นอยู่กับความสะอาดเป็นสำคัญ ถ้าสะอาดมากก็ถือว่าเป็นยางชั้นดีมาก และขายได้ราคาสูง ฉะนั้น ในการทำยางแต่ละขั้น จะต้องระมัดระวังให้สะอาดที่สุด ต่อไปนี้จะได้กล่าวถึง วิธีทำยางแผ่นรมควันเป็นขั้น ๆ นับตั้งแต่ได้น้ำยางมาจากสวน
ขั้นที่ ๑
น้ำยางที่ได้มาจากสวนจะต้องกรองให้สะอาดเสียก่อน การกรองครั้งแรกให้กรองด้วยตะแกรงลวด (ที่ไม่เป็นสนิมหรือทองเหลือง) ขนาด ๔๐ ตา หรือ รู/นิ้ว เพื่อกรองเอาผงหยาบ ๆ เช่น เศษเปลือก ผง ผงจากใบไม้หรือดินทราย ฯลฯ ออกชั้นหนึ่งก่อน เมื่อกรองเอาผงหยาบ ๆ ออกแล้ว จะต้องเติมน้ำประมาณ ๑ เท่า เพื่อให้น้ำยางใส การเติมน้ำควรใช้เครื่องวัดความเข้มข้นของน้ำยาง ให้น้ำยางสม่ำเสมอกันทุกครั้ง เพื่อให้น้ำยางในปริมาตรเดียวกัน มีเนื้อยางเท่า ๆ กัน การทำแผ่นจะได้บางและมีน้ำหนักเท่ากัน เมื่อนำเข้ารมในโรงรมควันจะได้สุกพร้อมกัน เมื่อเติมน้ำจนมีความเข้มข้นตามต้องการแล้ว โดยปกติจะเติมให้มีเนื้อยางผสมอยู่ในน้ำเพียงร้อยละ ๑๕ (น้ำยางที่ได้มาจากต้นมีเนื้อยางแห้งประมาณร้อยละ ๓๐-๓๕ ของน้ำยางทั้งหมด) แล้วจึงกรองด้วยตะแกรงกรองชนิดละเอียดขนาด ๖๐ รู/นิ้ว เทรวมลงไปในถังรวมน้ำยาง เพื่อให้น้ำยางทุก ๆ ต้นผสมเป็นเนื้อเดียวกัน ถังรวมน้ำยางดังกล่าวนี้ มีความสำคัญในการที่จะทำยางชั้นดีอยู่มาก ถ้าเป็นสวนยางขนาดใหญ่ จะมีถังอะลูมิเนียมรวมน้ำยางขนาดจุ ๓,๐๐๐-๔,๐๐๐ ลิตร หรืออาจทำถังหรืออ่างซีเมนต์บรรจุ โดยไม่จำกัดจำนวนก็ได้ เมื่อเอาน้ำยางที่กรองผสมกันหมดแล้ว ปล่อยให้น้ำยางตกตะกอนประมาณ ๒๐ - ๓๐ นาที แล้วจึงเอาน้ำยางตอนบน ๆ ไปใช้ทำแผ่นต่อไป ส่วนน้ำยางตอนล่างซึ่งมีเป็นจำนวนน้อยมาก อาจจะมีผงเล็ก ๆ ตกตะกอนอยู่บ้าง จะแยกเอาไปใช้ทำเป็นยางแผ่นชั้นต่ำ เพราะเป็นยางที่มีความสะอาดน้อยกว่า
ขั้นที่ ๒
ถ้าเป็นสวนขนาดเล็กจะนำน้ำยางที่กรอง และผสมน้ำแล้ว ตวงใส่ตะกงเดี่ยว ซึ่งทำด้วยอะลูมิเนียม หรือสังกะสี ขนาดกว้างยาวสูงประมาณ ๔๕ x ๒๖ x ๗ เซนติเมตร บรรจุน้ำยางได้ประมาณ ๖-๗ ลิตร ทำยางได้หนักแผ่นละ ๗๐๐-๘๐๐ กรัม ถ้าเป็นสวนขนาดใหญ่ จะใช้ตะกงขนาดใหญ่ มีแผ่นกั้นเป็นช่อง ๆ ซึ่งเรียกว่า ตะกงตับ ก็ได้ ทำยางได้ตะกงละ ๑๕๐ แผ่น
ขั้นที่ ๓
การทำให้ยางจับตัวเป็นก้อน โดยค่อย ๆ ผสมน้ำกรดฟอร์มิกกับน้ำให้เจือจางเพียง ๑% หรือ ๒% เทลงไปในน้ำยางตามอัตราส่วน ถ้าจะให้ยางแข็งตัวจับเป็นก้อนในวันรุ่งขึ้น จะใช้กรดเพียง ๔ ซีซี / เนื้อยางแห้ง ๑,๐๐๐ กรัมหรือ ๑ กิโลกรัม ถ้าจะให้ยางแข็งตัวภายใน ๑-๒ ชั่วโมง ก็ให้ใช้กรดฟอร์มิกมากขึ้น เป็น ๘-๑๐ ซีซี / ยางแห้ง ๑,๐๐๐ กรัม ซึ่งเท่ากับเป็นการใช้กรดฟอร์มิกประมาณ ๑% ของน้ำหนักเนื้อยางแห้ง การใส่กรดลงไปในน้ำยางต้องค่อย ๆ ใส่ลงไปทีละน้อย แล้วรีบคนให้ทั่ว เพื่อไม่ให้น้ำยางตรงที่ถูกกรดจับตัวเป็นก้อนในทันทีทันใด เมื่อใส่น้ำกรดเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตักฟองเอาออก และระวังไม่ให้ฝุ่น ผงหรือสิ่งสกปรกตกลงไป
น้ำกรดที่ทำให้ยางจับตัวเป็นก้อนมิใช่มีแต่กรดฟอร์มิกแต่อย่างเดียว กรดน้ำส้มหรือกรดอะเซติกก็ใช้ได้ดี ถ้าใช้กรดน้ำส้มจะต้องใช้เพิ่มขึ้นประมาณเกือบเท่าตัวของกรดฟอร์มิก กรดกำมะถันก็ใช้ได้และราคาก็ถูกกว่า แต่การใช้ค่อนข้างยาก ต้องใช้การคำนวณให้แน่นอน ถ้าใช้มากไปน้อยไปทำให้ยางเสียได้ง่าย ขณะนี้ปรากฏว่า ยางเสียหายมาก ทั้งนี้เพราะน้ำกรดที่ขายในตลาดไม่ทราบว่ากรดอะไรแน่นอน จึงไม่แนะนำให้ใช้กรดกำมะถันและกรดชนิดอื่น ๆ
ขั้นที่ ๔
เมื่อยางในตะกงจับตัวเป็นก้อนดีแล้ว ตัวก้อนยางจะจับตัวเป็นแผ่นลอยอยู่เหนือน้ำ และน้ำที่อยู่รอบ ๆ ยางจะใส (ถ้าน้ำขุ่นอยู่แสดงว่า ยังจับตัวกันไม่เรียบร้อย) ให้เอาน้ำสะอาดราดลงบนยางเพื่อไล่ฝุ่นละอองออก แล้วนำตะกงยางคว่ำลงบนโต๊ะที่ล้างสะอาดดีแล้วมาทีละแผ่น ใช้ไม้ลูกกลิ้งหรือขวดเบียร์ค่อย ๆ กลิ้งและกดให้แบนจนตลอดแผ่น เพื่อไล่น้ำออกตรงปลายที่จะนำเข้าเครื่อง (คือทางด้านกว้าง) ทำให้แบนมาก ๆ จะได้ส่งเข้าเครื่องรีดได้สะดวก
เครื่องรีดยางหรือเครื่องทำแผ่นยางที่กล่าวนี้ คล้าย ๆ กับเครื่องรีดปลาหมึก แต่ใหญ่กว่ามากใช้มือหมุน มีลูกกลิ้ง ๑ คู่ ยาวประมาณ ๕๐-๖๐ เซนติเมตร (๒๐ - ๒๔ นิ้ว) เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๐ เซน ติเมตร (๔ นิ้ว) มีที่ขันให้ลูกกลิ้งทั้งสองเบียดกันหรือห่างกันได้ เครื่องรีดยางชุดหนึ่งอย่างน้อยจะต้องมี ๒ เครื่อง คือ เครื่องรีดเกลี้ยง ๑ เครื่อง และเครื่องรีดดอกอีก ๑ เครื่อง ที่ลูกกลิ้งทั้ง ๒ อันของเครื่องรีดดอกนั้น มีร่องเป็นเกลียวรอบตัวและเต็มลูกกลิ้ง แต่ละร่องมีขนาดกว้างประมาณ ๓ มิลลิเมตร วนเอียงประมาณ ๔๕ องศา ขนานกันทุกร่อง จากปลายข้างหนึ่งไปยังปลายอีกข้างหนึ่ง
ยางที่แข็งตัวและนวดให้ส่วนน้ำออกไปบ้างแล้ว จะนำเข้าเครื่อง รีดเกลี้ยง ๒ - ๓ ครั้ง จนแผ่นยางบางประมาณ ๒-๓ มิลลิเมตร จึงนำเข้าเครื่องรีดดอก ยางแผ่นจะปรากฏเป็นร่องเล็ก ๆ เฉียงพาดไปทั่วแผ่น ทั้งนี้ เพื่อทำให้เกิดเนื้อที่มากขึ้นกว่าแผ่นเลี่ยน ๆ ซึ่งจะสามารถรับความร้อนและควันได้มาก จนทำให้ยางสุกทั่วแผ่นเร็วขึ้น
ส่วนสวนยางขนาดใหญ่ จะไม่ใช้เครื่องรีดด้วยมือ ดังกล่าวนี้ เพราะทำได้ช้า จะใช้เครื่องรีดยางอัตโนมัติ เครื่องรีดยางชนิดนี้จะมีลูกกลิ้ง ๔ หรือ ๕ คู่เรียงเกือบชิดกัน คู่สุดท้ายจะเป็นลูกกลิ้งดอก เครื่องหนึ่งจะทำยางแผ่นได้ชั่วโมงละ ๗๐๐-๘๐๐ แผ่นขึ้นไป
ยางที่รีดเป็นแผ่นเสร็จแล้ว จะนำไปแช่น้ำ อาจจะเป็นในอ่างใหญ่หรือบ่อซีเมนต์ที่มีน้ำไหลผ่านเข้าและออกได้ตลอดเวลา เพื่อไล่น้ำกรดและสิ่งสกปรก หรือ คราบน้ำมันของเครื่องรีดดอกให้หมดแช่ไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง
เครื่องรีดยางหรือเครื่องทำแผ่นยางที่กล่าวนี้ คล้าย ๆ กับเครื่องรีดปลาหมึก แต่ใหญ่กว่ามากใช้มือหมุน มีลูกกลิ้ง ๑ คู่ ยาวประมาณ ๕๐-๖๐ เซนติเมตร (๒๐ - ๒๔ นิ้ว) เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ ๑๐ เซน ติเมตร (๔ นิ้ว) มีที่ขันให้ลูกกลิ้งทั้งสองเบียดกันหรือห่างกันได้ เครื่องรีดยางชุดหนึ่งอย่างน้อยจะต้องมี ๒ เครื่อง คือ เครื่องรีดเกลี้ยง ๑ เครื่อง และเครื่องรีดดอกอีก ๑ เครื่อง ที่ลูกกลิ้งทั้ง ๒ อันของเครื่องรีดดอกนั้น มีร่องเป็นเกลียวรอบตัวและเต็มลูกกลิ้ง แต่ละร่องมีขนาดกว้างประมาณ ๓ มิลลิเมตร วนเอียงประมาณ ๔๕ องศา ขนานกันทุกร่อง จากปลายข้างหนึ่งไปยังปลายอีกข้างหนึ่ง
ยางที่แข็งตัวและนวดให้ส่วนน้ำออกไปบ้างแล้ว จะนำเข้าเครื่อง รีดเกลี้ยง ๒ - ๓ ครั้ง จนแผ่นยางบางประมาณ ๒-๓ มิลลิเมตร จึงนำเข้าเครื่องรีดดอก ยางแผ่นจะปรากฏเป็นร่องเล็ก ๆ เฉียงพาดไปทั่วแผ่น ทั้งนี้ เพื่อทำให้เกิดเนื้อที่มากขึ้นกว่าแผ่นเลี่ยน ๆ ซึ่งจะสามารถรับความร้อนและควันได้มาก จนทำให้ยางสุกทั่วแผ่นเร็วขึ้น
ส่วนสวนยางขนาดใหญ่ จะไม่ใช้เครื่องรีดด้วยมือ ดังกล่าวนี้ เพราะทำได้ช้า จะใช้เครื่องรีดยางอัตโนมัติ เครื่องรีดยางชนิดนี้จะมีลูกกลิ้ง ๔ หรือ ๕ คู่เรียงเกือบชิดกัน คู่สุดท้ายจะเป็นลูกกลิ้งดอก เครื่องหนึ่งจะทำยางแผ่นได้ชั่วโมงละ ๗๐๐-๘๐๐ แผ่นขึ้นไป
ยางที่รีดเป็นแผ่นเสร็จแล้ว จะนำไปแช่น้ำ อาจจะเป็นในอ่างใหญ่หรือบ่อซีเมนต์ที่มีน้ำไหลผ่านเข้าและออกได้ตลอดเวลา เพื่อไล่น้ำกรดและสิ่งสกปรก หรือ คราบน้ำมันของเครื่องรีดดอกให้หมดแช่ไว้ประมาณครึ่งชั่วโมง
ขั้นที่ ๕
เมื่อแช่ยางล้างน้ำกรดออกเสร็จแล้ว นำยางไปผึ่งบนราวไม้ไผ่หรือลวดเพื่อให้แห้ง เมื่อแห้งหรือน้ำหยุดหยดจากยางแล้ว นำเข้ารมในโรงรมต่อไป ในทางปฏิบัติ เจ้าของสวนยางขนาดเล็กมักจะขายยางแผ่นที่แห้งแล้วให้ผู้ค้ายาง หรือผู้ส่งยางออกนอกประเทศ ซึ่งผู้ค้ายางหรือผู้ส่งยางออกจะนำยางที่ซื้อไปรมควัน ยางแผ่นที่ไม่รมจะส่งออกไปจำหน่ายต่างประเทศไม่ได้เพราะไม่มีผู้ซื้อยางชนิดนี้
ส่วนสวนยางขนาดใหญ่ จะมีรถรมยางเดินบนรางเหล็กมารับยางที่แช่น้ำแล้ว เอาไปผึ่งบนราวไม้บนรถรมยาง รถรมยางดังกล่าวนี้ มีขนาดกว้างยาวสูงประมาณ ๒๑๕ x ๒๗๕ x ๓๑๐ เซนติเมตร พาดยางได้คันละประมาณ ๔๐๐-๖๐๐ แผ่น ในการรมจะนำเข้ารมทั้งรถทั้งยาง นับว่าสะดวกดีมาก
การรมจะใช้ความร้อนประมาณ ๑๐๐ องศาฟาเรนไฮต์ สำหรับ ๓-๔ ชั่วโมงแรก แล้วจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น สำหรับวันแรกจะใช้ความร้อนไม่เกิน ๑๒๐ องศาฟาเรนไฮต์ วันที่ ๒ เพิ่มขึ้นเป็น ๑๓๐ องศาฟาเรนไฮต์ และในวันที่ ๓ ที่ ๔ จะใช้ความร้อน ๑๔๕ องศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งเป็นความร้อนสูงสุดสำหรับการรมยาง ความร้อนภายในโรงรมยางแต่ละวัน ควรอยู่ในระดับขาดเกินจากที่กำหนดไว้เพียง ฑ๕ องศาฟาเรนไฮต์เท่านั้น ถ้ายางแผ่นทำได้มาตรฐาน คือ มีความหนาประมาณ ๒-๓ มิลลิเมตร และใช้กรดผสมยางชั้นดี จะรมได้ที่หรือสุกภายใน ๔ - ๕ วัน หลังจากนั้น จะเอาออกมาคัดเลือกเป็นยางชั้น ๑-๒-๓-๔ และ ๕ ตามมาตรฐานสากลต่อไป ชั้นของยางถือเอาความสะอาดเป็นเกณฑ์และตัดสินกันด้วยตา ตาของผู้ขายในประเทศไทยกับตาของผู้ซื้อในต่างประเทศมักจะไม่ตรงกัน จึงมีการโต้แย้งเรียกร้องเงินคืนหรือตัดราคากันอยู่เป็นประจำ
โรงรมยาง โดยที่สวนยางมีอยู่หลายขนาด ฉะนั้น โรงรมยางจึงมีหลายแบบ คือ แบบจิ๋ว รมได้ครั้งละประมาณ ๑๐๐-๑๕๐ แผ่น โรงรมแบบ ๒ ชั้น มีหลายขนาด รมได้ตั้งแต่ ๑,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ แผ่น แต่โรงรมเหล่านี้ คนต้องเอายางเข้าไปในโรงรม โดยพาดไว้บนราวไม้ให้เป็นระเบียบ เมื่อรมสุกแล้ว ต้องเข้าไปลำเลียงเอาออกมา
ส่วนสวนยางขนาดใหญ่จะใช้รถรมยางเข้าช่วย เมื่อต้องใช้รถรมยาง โรงรมยางก็ต้องทำให้เหมาะกับรถรมยางที่ต้องเดินบนรางเหล็ก โรงรมยางสำหรับรถรมยางจึงมี ๒ แบบ คือ แบบห้องแถว และ แบบอุโมงค์ สำหรับแบบห้องแถว รถรมยางจะถูกนำเข้ารมเป็นห้อง ๆ มีความร้อนและควันแยกเข้าเป็นห้อง ๆ ไป ส่วนแบบอุโมงค์นั้นเป็นเหมือนอุโมงค์รถไฟ คือ เข้าทางเดียว เมื่อเข้าไปแล้วจะถอยกลับทางเก่าไม่ได้ ต้องออกอีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ดี โรงรมทุกแบบจะต้องให้ความร้อนเป็นขั้น ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และความสำคัญของโรงรมยางที่ดีนั้น จะต้องประกอบด้วยลักษณะต่อไปนี้
(๑) กระจายความร้อนได้สม่ำเสมอเท่ากันทั่วห้อง เว้นแต่แบบอุโมงค์ความร้อนตรงตอนที่จะออกจะสูงกว่าตรงตอนแรกที่เข้าไป
(๒)มีการควบคุมอุณหภูมิได้ดี
(๓)การระบายอากาศดี
(๔)มีการป้องกันไฟไหม้ไว้เป็นอย่างดี
(๕)น้ำที่หยดจากยางมีทางไหลออกได้เร็วดี
(๖)ควัน และความร้อนไม่รั่วไหลออกได้
ส่วนสวนยางขนาดใหญ่ จะมีรถรมยางเดินบนรางเหล็กมารับยางที่แช่น้ำแล้ว เอาไปผึ่งบนราวไม้บนรถรมยาง รถรมยางดังกล่าวนี้ มีขนาดกว้างยาวสูงประมาณ ๒๑๕ x ๒๗๕ x ๓๑๐ เซนติเมตร พาดยางได้คันละประมาณ ๔๐๐-๖๐๐ แผ่น ในการรมจะนำเข้ารมทั้งรถทั้งยาง นับว่าสะดวกดีมาก
การรมจะใช้ความร้อนประมาณ ๑๐๐ องศาฟาเรนไฮต์ สำหรับ ๓-๔ ชั่วโมงแรก แล้วจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น สำหรับวันแรกจะใช้ความร้อนไม่เกิน ๑๒๐ องศาฟาเรนไฮต์ วันที่ ๒ เพิ่มขึ้นเป็น ๑๓๐ องศาฟาเรนไฮต์ และในวันที่ ๓ ที่ ๔ จะใช้ความร้อน ๑๔๕ องศาฟาเรนไฮต์ ซึ่งเป็นความร้อนสูงสุดสำหรับการรมยาง ความร้อนภายในโรงรมยางแต่ละวัน ควรอยู่ในระดับขาดเกินจากที่กำหนดไว้เพียง ฑ๕ องศาฟาเรนไฮต์เท่านั้น ถ้ายางแผ่นทำได้มาตรฐาน คือ มีความหนาประมาณ ๒-๓ มิลลิเมตร และใช้กรดผสมยางชั้นดี จะรมได้ที่หรือสุกภายใน ๔ - ๕ วัน หลังจากนั้น จะเอาออกมาคัดเลือกเป็นยางชั้น ๑-๒-๓-๔ และ ๕ ตามมาตรฐานสากลต่อไป ชั้นของยางถือเอาความสะอาดเป็นเกณฑ์และตัดสินกันด้วยตา ตาของผู้ขายในประเทศไทยกับตาของผู้ซื้อในต่างประเทศมักจะไม่ตรงกัน จึงมีการโต้แย้งเรียกร้องเงินคืนหรือตัดราคากันอยู่เป็นประจำ
โรงรมยาง โดยที่สวนยางมีอยู่หลายขนาด ฉะนั้น โรงรมยางจึงมีหลายแบบ คือ แบบจิ๋ว รมได้ครั้งละประมาณ ๑๐๐-๑๕๐ แผ่น โรงรมแบบ ๒ ชั้น มีหลายขนาด รมได้ตั้งแต่ ๑,๐๐๐-๓๐,๐๐๐ แผ่น แต่โรงรมเหล่านี้ คนต้องเอายางเข้าไปในโรงรม โดยพาดไว้บนราวไม้ให้เป็นระเบียบ เมื่อรมสุกแล้ว ต้องเข้าไปลำเลียงเอาออกมา
ส่วนสวนยางขนาดใหญ่จะใช้รถรมยางเข้าช่วย เมื่อต้องใช้รถรมยาง โรงรมยางก็ต้องทำให้เหมาะกับรถรมยางที่ต้องเดินบนรางเหล็ก โรงรมยางสำหรับรถรมยางจึงมี ๒ แบบ คือ แบบห้องแถว และ แบบอุโมงค์ สำหรับแบบห้องแถว รถรมยางจะถูกนำเข้ารมเป็นห้อง ๆ มีความร้อนและควันแยกเข้าเป็นห้อง ๆ ไป ส่วนแบบอุโมงค์นั้นเป็นเหมือนอุโมงค์รถไฟ คือ เข้าทางเดียว เมื่อเข้าไปแล้วจะถอยกลับทางเก่าไม่ได้ ต้องออกอีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ดี โรงรมทุกแบบจะต้องให้ความร้อนเป็นขั้น ๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว และความสำคัญของโรงรมยางที่ดีนั้น จะต้องประกอบด้วยลักษณะต่อไปนี้
(๑) กระจายความร้อนได้สม่ำเสมอเท่ากันทั่วห้อง เว้นแต่แบบอุโมงค์ความร้อนตรงตอนที่จะออกจะสูงกว่าตรงตอนแรกที่เข้าไป
(๒)มีการควบคุมอุณหภูมิได้ดี
(๓)การระบายอากาศดี
(๔)มีการป้องกันไฟไหม้ไว้เป็นอย่างดี
(๕)น้ำที่หยดจากยางมีทางไหลออกได้เร็วดี
(๖)ควัน และความร้อนไม่รั่วไหลออกได้
ขั้นที่ ๖
การทำห่อยาง เมื่อได้คัดเลือกยางเป็นชั้น ๆ ดีแล้ว จะต้องห่อยางให้เป็นไปตามข้อบังคับสากล ซึ่งสมาคมผู้ค้ายางของประเทศต่าง ๆ ได้ตกลงกันไว้ คือ จะต้องใช้ยางที่มีคุณภาพชั้นเดียวกันห่อยาง ยางห่อหนึ่งจะต้องอัดให้แน่น ให้มีน้ำหนักตั้งแต่ ๒๒๔ - ๒๕๐ ปอนด์ (๑๐ ห่อจะเท่ากับน้ำหนัก ๑ ตัน) ไม่ต้องมีลวดรัด ห่อหนึ่งจะมีปริมาตรประมาณ ๕ ลูกบาศก์ฟุต ฉะนั้น การห่อยางจะต้องห่อให้กว้าง ยาว สูงประมาณ ๒๐ x ๒๔ x ๑๘ นิ้ว การทำห่อโดยวิธีอื่น เรือเดินทะเลจะไม่รับขนส่งให้
ยางทุกห่อจะต้องทาด้วยแป้งสีขาว ตามสูตรการผสมแป้งของข้อบังคับสากล ทั้งนี้เพื่อมิให้ห่อยางติดกัน และจะต้องเขียนบอกชั้นของยางไว้ ๒ ด้าน โดยใช้ตัวอักษรใหญ่ขนาด ๘ นิ้ว ชื่อของบริษัทผู้ส่งยางออก จะต้องเขียนให้เห็น ๒ ด้านเช่นกัน โดยใช้ตัวอักษรขนาด ๕ นิ้ว ถ้าจะมีเลขบอกครั้งที่หรือจำนวนก็ให้เขียนไว้ใต้ชื่อของบริษัทผู้ส่งยางออกโดยใช้เขียนด้วย๕นิ้ว
ยางทุกห่อจะต้องทาด้วยแป้งสีขาว ตามสูตรการผสมแป้งของข้อบังคับสากล ทั้งนี้เพื่อมิให้ห่อยางติดกัน และจะต้องเขียนบอกชั้นของยางไว้ ๒ ด้าน โดยใช้ตัวอักษรใหญ่ขนาด ๘ นิ้ว ชื่อของบริษัทผู้ส่งยางออก จะต้องเขียนให้เห็น ๒ ด้านเช่นกัน โดยใช้ตัวอักษรขนาด ๕ นิ้ว ถ้าจะมีเลขบอกครั้งที่หรือจำนวนก็ให้เขียนไว้ใต้ชื่อของบริษัทผู้ส่งยางออกโดยใช้เขียนด้วย๕นิ้ว