2 ครั้ง ก็
การ เตรียมดิน สำหรับการ ปลูกสับปะรด นั้น หาก เป็นที่ เปิดใหม่ มักใช้ รถไถ ดันราก ไม้ใหญ่ ๆ ให้โผล่ ขึ้นมา แล้วจุด ไฟเผา ต่อจาก นั้นไถ ดินให้ ลึก 20-30 เซนติเมตร ไถพรวน อีก 2-3 ครั้ง จนซาก ต้นไม้ ใบหญ้า กลายเป็น ชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย ปล่อย ทิ้งเอา ไว้ระยะ หนึ่ง เพื่อ ให้เศษ ซากพืช เน่าสลาย ในดิน แล้ว ปรับระดับ ให้เรียบ เสมอ แล้ว จึงไถ ดินให้ ลึกถึง ระดับ 40-50 เซนติเมตร เป็นการ เปิดหน้า ดินให้ ลึกเพื่อ ระบายน้ำ และอากาศ
หาก ดินเป็น แปลงสับปะรด เก่า ใช้ รถแทรกเตอร์ ลากพรวน จาน ไถกลับ ไปมา จนต้น และใบ แหลกเป็น ชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย ไถกลบ เศษต้น และใบ สับปะรดนั้น ลงใน ดินปล่อย เอาไว้ สัก ระยะหนึ่ง เพื่อให้ เน่าเปื่อย เป็นอินทรีย์ วัตถุและ เป็นการ ปรับโครง สร้างของ ดิน ให้ดี ขึ้น แล้วจึง ไถดิน ให้ลึก 40-50 เซนติเมตร และใช้ พรวนจาน ไถอีก ครั้งเมื่อ ใกล้ระยะ เวลาที่ จะปลูก
การ เตรียมหน่อ พันธุ์ก่อน ปลูก
- หน่อ
300-500 | 30-50 | |
กลาง | 500-700 | 50-75 |
ใหญ่ | 700-900 | 65-85 |
มาก |
จุก
เล็ก | 100-200 |
กลาง | 200-300 เป็น |
300-400 | |
การ สำหรับ 1. แคป 2. ฟอส 3. ถ้า การควบ |
ใน
การ
ข้อ
ธาตุอาหารที่จำเป็นและการใช้ปุ๋ยเคมีในสับปะรด สับปะรดเป็นพืชที่ต้องการธาตุไนโตรเจน และโพแทสเซียมสูง ถ้าขาดไนโตรเจนจะเริ่มแสดงอาการที่ ใบอ่อนจะมีสีเขียวจาง ๆ แต่ใบแก่ยังคงมีสีเขียวเข้ม ต่อมาใบที่งอกใหม่จะมีขอบสีแดง แต่บัวใบสีเหลืองซีดถึงช่วงนี้แล้วต้องรีบแก้ไขโดยให้ปุ๋ยทันที มิฉะนั้นจะทำให้ผลผลิตลดลงมาก หน่อและตะเกียงจะไม่เกิดเลย ปุ๋ยแอมโมเนียมซัลเฟตเป็นแหล่งไนโตรเจน ที่หาได้ง่ายและราคาไม่แพงนัก ถ้าขาดโพแทสเซียม ปลายใบจะไหม้ จะมีจุดไหม้ที่ใบแก่ ต่อมาเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและเหี่ยวแห้งไป ผลมีขนาดเล็กสุกช้า และมีปริมาณกรดในเนื้อสับปะรดน้อยมาก ธาตุโพแทสเซียมนี้ได้จากปุ๋ยโพแทสเซียมซัลเฟตเป็นส่วนใหญ่ ความต้องการธาตุฟอสฟอรัสในสับปะรด นับว่าน้อยมากเมื่อเทียบกับธาตุอาหารหลักทั้งสอง เพราะส่วนใหญ่ในดินมีฟอสฟอรัสเพียงพออยู่แล้ว แต่ถ้าในดินขาดธาตุฟอสฟอรัสแล้วจะทำให้ต้นไม่แข็งแรง หน่อและตะเกียบจะลดจำนวนลงมาก อาการขาดธาตุเหล็ก เริ่มจากใบอ่อนมีสีซีดคล้ายขาดไนโตรเจนและมีรอยแต้มสีแดงขึ้นทั่วไป มีสีน้ำตาลที่ปลายรากและไม่มีรากแขนงให้เห็น ผลจะแก่เร็วขึ้น แต่มีกรดในเนื้อต่ำ การแก้ไขอาการขาดธาตุเหล็กนั้นโดยการใช้เหล็กซัลเฟตฉีดพ่นในอัตรา 1-3 ในบริเวณที่มีแมงกานีสสูงหรือในดินที่มีระดับความเป็นกรด-ด่างที่สูงกว่า 5.8 จะพบอาการขาดธาตุเหล็กอยู่เสมอในดินทรายที่มีอินทรียวัตถุต่ำจะพบอาการขาดธาตุทองแดง และสังกะสีอาการปรากฏคือที่ยอดของใบอ่อน จะบิด เบี้ยวใบจะแคบ และมีสีเหลืองอ่อนความ ทนทานของผล ต่อแสงแดดจะลดลง ทำให้ผิวเปลือกไหม้เกรียมเป็นหย่อม ๆ แก้ไขโดยใช้สังกะสีซัลเฟตและทองแดงซัลเฟตในรูปสารละลายฉีดพ่นให้ทั่วทั้งต้นและใบ ปุ๋ยที่จะใส่ให้สับปะรดนับเป็นปัจจัยสำคัญในการควบคุมความเป็นกรด-ด่างของดิน การใช้ปุ๋ยเคมีในรูปแคลเซียมจะมีส่วนเพิ่มความเป็นด่าง ในขณะเดียวกันการใช้ปุ๋ยเคมีที่อยู่ในรูปซัลเฟตจะเพิ่มความเป็นกรดในดิน การให้ปุ๋ยสับปะรดนั้นผู้ปลูกแต่ละรายก็ใช้ปุ๋ยแตกต่างกันไป เนื่องจากสภาพดิน และปัจจัยอื่น ๆ ส่วนใหญ่จะใช้ปุ๋ย 3-4 ครั้งต่อรุ่น ปุ๋ยที่ใช้มากคือ ปุ๋ยไนโตรเจนและปุ๋ยผสมสูตรต่าง ๆ เช่น 12-4-18+ธาตุอาหารเสริม ปุ๋ยสำหรับสับปะรด กรมส่งเสริมการเกษตรแนะนำการใส่ปุ๋ยดังนี้ คือ สับปะรดรุ่นแรก ครั้งที่ 1 ก่อนปลูกใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอก 1 ตันผสมปุ๋ยหินฟอสเฟตสูตร 0-3-0 อัตรา 50-100 กิโลกรัมต่อไร่ โรยเป็นแถวหลังไถแปรตามแนวร่องปลูกเพื่อปรับปรุงดินสำหรับกระตุ้นการออกราก ครั้งที่2 หลังปลูก1-2 เดือนหรือระยะเริ่มออกรากใส่ปุ๋ยสูตรที่มีสัดส่วนไนโตรเจนสูง เช่น สูตร 21-0-0 หรือ 16-20-0 อัตรา 7-10 กรัมต่อต้น ใส่ดินโคนต้นฝังหรือกลบปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยคอกในขณะดินมีความชื้นเพียงพอ ครั้งที่ 3 หลังปลูก 4-6 เดือน ใส่ปุ๋ยครบสูตรที่มีสัดส่วนโพแทสเซียมสูง 3:1:4 เช่นสูตร 12-4-18+ธาตุอาหารเสริม, 15-5-20, 13-13-21 หรือสูตรใกล้เคียง ซึ่งไนโตรเจนไม่ควรเกิน 15% ป้องกันสารไนเตรทตกค้างอัตรา 10 กรัมต่อต้น ใส่บริเวณกาบใบล่างในขณะกาบใบมีน้ำเพียงพอที่จะละลายปุ๋ย ครั้งที่4 ก่อนบังคับผล1-2 เดือน ให้ธาตุอาหารรองและธาตุอาหารเสริมได้แก่ แคลเซียม โบรอน โดยฉีดพ่นเข้าทางใบ ครั้งที่ 5 หลังบังคับผลประมาณ 3 เดือน ใส่ปุ๋ยโพแทสเซียมคลอไรด์ (0-0-60) หรือโพแทสเซียมซัลเฟต (0-0-50) อัตรา 7-10 กรัมต่อต้น ใส่บริเวณกาบใบล่างในขณะกาบใบมีน้ำเพียงพอที่จะละลายปุ๋ย สับปะรดที่ไว้หน่อ(หลังเก็บผลรุ่นแรก) - หลังจากเก็บเกี่ยวประมาณ 1 เดือน ใส่ปุ๋ยสูตร 21-0-0 หรือ 16-20-0 บริเวณกาบใบล่างอัตรา 10กรัมต่อต้น เพื่อบำรุงต้นตอและเร่งหน่อ - ระยะดูแลรักษาต้นตอจนถึงระยะบังคับผล และระยะเก็บเกี่ยวใส่สูตรและอัตราเดียวกับต้นรุ่นแรก (ครั้งที่ 3-5) ถ้ามีฝนให้ใส่ที่กาบใบหน้าแล้งอาจใช้วิธีฉีดพ่นทางใบ การใช้สารเคมีเร่งการออกดอกในสับปะรด เนื่องจากสับปะรดมีอายุการออกดอกค่อนข้างช้า และไม่สม่ำเสมอซึ่งมีผลไปถึงการเก็บผลด้วย แต่ในบรรดาพืชมีดอกทั้งหลาย สับปะรดนับว่าเป็นพืชที่ใช้สารเคมีเร่งให้ออกดอกก่อนกำหนดได้ง่าย สารเคมีที่ใช้เร่งดอกสับปะรด ที่นิยมใช้กันมากได้แก่ 1. เอทธิฟอน เป็นสารเคมีที่ให้ก๊าซเอทธิลินโดยตรง เมื่อเอทธิฟอนเข้าไปในเนื้อเยื่อสับปะรด จะแตกตัวปล่อยเอทธิลินออกมา เอทธิลินเป็นตัวชักนำให้เกิดการสร้างตาดอกขึ้น ซึ่งจะทำให้เก็บผลได้ก่อนกำหนดประมาณ2เดือน เอทธิฟอน มีชื่อการค้าหลายชื่อ แต่ที่นิยมคือ อีเทรล (39.5% เอทธิฟอน) อีทีฟอน 48% อีเกอร์ 48 % โดยใช้ในอัตรา 8 ซีซีต่อน้ำ 20 ลิตร(หรือ 2 ลิตรต่อน้ำ 1000 ลิตรเติมโบรอนลงไป 1 กิโลกรัมสำหรับชนิดผงหรือ 500 ซีซี สำหรับชนิดน้ำ) และเติมปุ๋ยยูเรียอีก 300 กรัม(46-0-0 10 กิโลกรัม สำหรับน้ำ 1000 ลิตร ) ผสมให้เข้ากันดีแล้วใช้หยอดยอดหรือฉีดพ่น ต้นละ 70-80 ซีซี หยอด 2 ครั้ง ห่างกัน 5-7 วัน สารนี้เมื่อผสมน้ำแล้วต้องใช้ทันทีอย่างช้าไม่เกิน 2 ชั่วโมง มิฉะนั้นสารเคมีจะลดประสิทธิภาพลงเวลาที่เหมาะสมในการหยอด คือ ตอนเช้ามืด และต้นสับปะรดต้องมีลักษณะพร้อมที่จะออกดอก หากฝนตกมาภายใน 2 ชั่วโมงหลังการใช้สารนี้ให้ทำซ้ำอีกครั้ง ให้เร็วเท่าที่จะทำได้ ปริมาณการใช้เอทธิฟอนจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับฤดูกาลและขนาดต้นสับปะรด ถ้าต้นสมบูรณ์มากให้ใช้ปริมาณมากขึ้นหรือหากจำเป็นต้องหยอดยอดในตอนกลางคืนช่วงที่มีอากาศร้อนอบอ้าว ให้ใช้ปริมาณมากขึ้นอีกเท่าตัว |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น