การฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา
หมายถึง คดีที่ผู้เสียหายตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีอำนาจกล่าวหาร้องทุกข์หรือฟ้องร้องคดีอาญา แก่ผู้กระทำความผิดได้เช่นเดียวกับคดีอาญาทั่วๆ ไปและในขณะเดียวกัน ยังมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหาย ในทางกฎหมายแพ่งลักษณะละเมิด เพื่อให้ผู้กระทำความผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ความเสียหายที่ตนได้รับเนื่องจากการกระทำความผิดทางอาญานั้นอีกด้วย
บุคคลซึ่งมีอำนาจฟ้อง
ผู้เสียหายและอัยการ . ผู้เสียหายตาม ปวิ.อาญา ม.2(4) หมายถึงบุคคลผู้ได้รับความเสียหายเนื่องจากการกระทำความผิดฐานใดฐานหนึ่ง รวมทั้งบุคคลอื่นที่มีอำนาจจัดกานแทนได้ ดั่งบัญญัติไว้ในมาตรา ๔ ๕ และ๖
. บุคคลซึ่งได้รับความเสียหายทางแพ่ง จากการกระทำที่ไม่เข้าองค์ประกอบความรับผิด ทางอาญา ย่อมไม่ใช้ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และไม่มีสิทธิดำเนินคดีอาญา จึงต้องดำเนินคดีแพ่งเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้กระทำตามลำพัง
. บุคคลซึ่งเป็นผู้เสียหาย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา อาจไม่ใช้ผู้เสียหายที่จะดำเนินคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาหากตามพฤติการณ์ผู้นั้นไม่ได้เป็นผู้เสียหายในทางละเมิด
. ผู้เสียหายตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา หมายความรวมถึงผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายด้วย ตาม ปวิ.อาญา ม.3(3) มาตรา 3 บุคคลดั่งระบุในมาตรา 4 5และ 6 มีอำนาจจัดการต่อไปนี้แทนผู้เสียหายตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในมาตรานั้นๆ .
(3)เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา
(3)เป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องคดีอาญา
พนักงานอัยการ ตาม ปวิ.อาญา มาตรา 43 คดีลักทรัพย์ วิ่งราว ชิงทรัพย์ ปล้นทรัพย์ โจรสลัด กรรโชก ฉ้อโกง ยักยอกหรือรับของโจรถ้าผู้เสียหายมีสิทธิที่จะเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่เขาสูญเสียเนื่องจากการกระทำความผิดคืนเมื่อพนักงานอัยการยื่นฟ้องคดีอาญา ก็ให้เรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหายด้วย
และ ตาม ปวิ.อาญา มาตรา 44 การเรียกทรัพย์สินหรือราคาคืนตามมาตราก่อน พนักงานอัยการจะขอรวมไปกับคดีอาญา หรือจะยื่นคำร้องในระยะใดระหว่างคดีอาญากำลังพิจารณาอยู่ในศาลชั้นต้นก็ได้
อำนาจของพนักงานอัยการมีจำกัดตาม ม.43 เท่านั้น คดีอื่นๆนอกจากนี้ผู้เสียหายจะต้องดำเนินการเอง
อัยการฟ้องได้เฉพาะคดีที่ผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องทรัพย์สินหรือราคาที่ผู้เสียหายไปนื่องจากการกระทำความผิดคดีอาญา
มีได้เฉพาะการเรียกทรัพย์สินคืนหรือเรียกราคาทรัพย์สิน ดังนั้น การเรียกค่าเสียหายในทางละเมิด เช่น ค่าใช้จ่ายที่ผู้เสียหายต้องเสียไปเนื่องจากการกระทำความผิด ฯลฯ ผู้เสียหายจึงต้องดำเนินการเอง รวมถึงการเรียกร้องในประการอื่นนอกเหนือจาการเรียกคืนทรัพย์หรือเรียกให้ชดใช้ราคาทรัพย์ด้วย
พนักงานอัยการจะต้องใช้สิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาโดยขอรวมไปกับคดีอาญาในแบบพิมพ์คำฟ้องคดีอาญาของพนักงานอัยการ จะมีช่องคำขอท้ายฟ้องซึ่งเว้นว่างไว้ให้กรอกข้อความ คดีเรื่องใดที่พนักงานอัยการถือว่าผู้เสียหายมีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคา ก็จะระบุไว้ในคำท้ายฟ้องดังกล่าว นอกจากการขอรวมไปกับท้ายฟ้องคดีอาญาแล้วยังเปิดช่องให้พนักงานอัยการยื่นคำร้องในระยะใดระหว่างที่คดีอาญากำลังพิจารณาอยู่ในศาลชั้นต้นก็ได้ ในทางปฏิบัติถ้ามิได้มีคำขอเรื่องทรัพย์สินหรือราคาในท้ายฟ้องคดีอาญา เนื่องจากปรากฏข้อเท็จจริงภายหลังว่าผู้เสียหายมีสิทธิเรียกคืนทรัพย์หรือราคา พนักงานอัยการจะทำคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องขอระบุข้อความในคำขอท้ายฟ้องดังกล่าว ซึ่งสามารถกระทำได้ตาม ปวิ.อาญา มาตรา 163 ก่อนมีคำพิพากษาของศาลชั้นต้น มาตรา 163 เมื่อเหตุอันควร โจทก์มีอำนาจยื่นคำร้องต่อศาลขอแก้ไขหรือเพิ่มเติมคำฟ้องก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น ถ้าศาลเห็นสมควรจะอนุญาตหรือจะสั่งให้ใต่สวนมูลฟ้องเสียก่อนก็ได้ เมื่ออนุญาตแล้วให้ส่งสำเนาแก่ฟ้องหรือฟ้องเพิ่มเติมแก่จำเลยที่แก้ และศาลจะสั่งแยกสำนวนพิจารณาฟ้องเพิ่มเติมนั้นก็ได้
กฎหมายบังคับให้พนักงานอัยการต้องเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนผู้เสียหาย เนื่องจากตัวบท มาตรา 43 ระบุไว้
การกำหนดราคาทรัพย์และค่าเสียหาย
มาตรา 47 วรรคสอง บัญญัติว่า ราคาทรัพย์สินที่สั่งให้จำเลยใช้แก่ผู้เสียหาย ให้ศาลกำหนดตามราคาอันแท้จริง ส่วนจำนวนเงินค่าทดแทนที่ผู้เสียหายจะได้รับนั้น ให้ศาลกำหนดให้ตามความเสียหายแต่ต้องไม่เกินคำขอ นอกเหนือจากการชดใช้ราคาที่แท้จริงแล้ว หากปรากฏว่าผู้เสียหายยังต้องเสียหายในประการอื่นเนื่องจากการกระทำของจำเลย ผู้เสียหายก็ย่อมมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ฟ้องเรียกร้องให้มีการชำระค่าเสียหายนั้นตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจริงแก่ตน ส่วนจำเลยย่อมมีฐานะเป็นลุกหนี้ชดใช้ค่าเสียหายดังกล่าว แต่ไม่ต้องชดใช้เป็นปริมาณสูงเกินแก่ความเสียหายแท้จริง เพราะจะเป็นความรับผิดเกินกว่านี้ที่ตนผูกพัน
ข้อสังเกต
เรื่องการถือข้อเท็จจริงในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว หมายความเฉพาะคดีหลังเป็นคดีส่วนแพ่งเท่านั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องคดีอาญากับคดีอาญาแล้วมิได้มีกฎหมายบัญญัติไว้เช่นนี้ เนื่องจากหลักการของการดำเนินคดีอาญานั้น ตาม ปวิ.อาญา มาตรา 227 วรรคแรก ได้วางหลักการไว้ว่า ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำผิดนั้น ตาม มาตรา 172 ก็ได้บัญญัติหลักการพิจารณาและสืบพยานโดยเปิดเผยต่อหน้าจำเลยไว้ดั่งนั้น ในทางปฏิบัติ ศาลในคดีอาญาไม่อาจนำข้อเท็จจริงที่ปรากฏการชี้ขาดไว้แล้วตามคำพิพากษาคดีอาญาเรื่องหนึ่งมาเป็นหลักวินิจฉัยชี้ขาดอีกเรื่องหนึ่ง ถึงแม้จะได้ทราบว่ามูลคดีทั้งสองเรื่องดั่งกล่าวมีความเกี่ยวข้องกันก็ตาม หรือแม้แต่โดยจำเลยจะเป็นคู่ความเดี่ยวกัน พยานชุดเดียวกัน โดยนัยนี้ คำชี้ขาดข้อเท็จจริงในคดีอาญาเรื่องก่อนจึงถือว่ายุติระหว่างคู่ความในคดีนั้น ส่วนคดีเรื่องหลังจะต้องมีการสืบพยานหลักฐานกันต่อไป และศาลอาจรับฟังข้อเท็จจริงไปในทางแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่ศาลคดีก่อนรับฟังก็ได้
เมื่อศาลได้พิพากษาให้จำเลยคืนทรัพย์ หรือให้ใช้ราคาทรัพย์ หรือให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหายแล้ว ผู้เสียหายย่อมมีฐานะเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา มีสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดี อันเป็นไปตามหลักการดำเนินการคดีแพ่งทั่วไป เช่น อาจขอให้เจ้าพนักงานจัดการยึดทรัพย์ของจำเลยมาขายทอดตลาดเพื่อเอาเงินมาชำระแทนราคาทรัพย์หรือค่าเสียหายก็ได้ ทั้งนี้ไม่ว่าผู้เสียหายจะเป็นโจทก์ฟ้องคดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญาด้วยตนเองหรือเป็นกรณีที่พนักงานอัยการเรียกร้องแทนให้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 หรือ 44 ก็ตามทั้งนี้เพราะตาม ปวิ.อาญา มาตรา 50
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น